Monday, December 16, 2013

เตือนอันตรายจากการทำศัลยกรรมความงาม

เตือนภัยทัวร์ศัลยกรรม คลินิกเถื่อน-ไร้มาตรฐาน

รายงานพิเศษ


จากกระแสฮิตศัลยกรรมเสริมความงามสไตล์เกาหลี ที่รุกหนักถึงขนาดเปิดบริษัทพาแพทย์รุ่นใหม่ไปเข้าคอร์สสอนการทำศัลยกรรมตามคลินิกเอกชน ซึ่งไม่ได้รับรองจากแพทยสภาของไทย เพราะขาดทั้งหลักวิชาการ มาตรฐานการศึกษา


นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมของไทย เผยว่า ปัจจุบันมีกลุ่ม เอเยนซี่ ในรูปของบริษัทข้ามชาติจากประเทศเกาหลีจำนวนมากเข้ามาเปิดในประเทศไทย เพื่อจัดทำทัวร์พาผู้ที่สนใจเดินทางไปทำศัลยกรรมเกาหลี ที่ประเทศเกาหลี ขณะเดียวกันยังได้จัดทำทัวร์ให้กับบรรดาแพทย์รุ่นใหม่ที่ต้องการไปศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมเทรนด์เกาหลีด้วย

โดยใช้ชื่อว่า โครงการแพทย์และสัมมนา หรืออบรมสัมมนาวิธีศัลยกรรมต่างๆ โดยจัดทำเป็นคอร์สให้เลือกได้ตามที่ต้องการ ซึ่งพบว่ามีแพทย์ไทยรุ่นใหม่จำนวนมาก ให้ความสนใจเดินทางไปศึกษาเพิ่มเติม โดยมีระยะเวลาการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ 3-7 วัน จากนั้นยังมีการมอบประกาศนียบัตรให้ด้วย

"แพทย์ส่วนใหญ่ที่เดินทางไปอบรมสัมมนา จะเป็นแพทย์รุ่นใหม่ที่จบแพทย์ทั่วไป ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางจึงต้องการมีความรู้เพิ่มเติม พบว่าเป็นเจ้าของคลินิกเกี่ยวกับผิวพรรณ ความงามเป็นส่วนใหญ่ แต่ต้องการขยายการให้บริการด้านศัลยกรรม เสริมจมูก ทำตาสองชั้นเพิ่ม เนื่องจากตลาดศัลยกรรมกำลังโต และเทรนด์ศัลยกรรมเกาหลีกำลังฟีเว่อร์ อย่างมาก

จากการศึกษาข้อมูลพบว่า การจัดทัวร์ให้แพทย์ส่วนใหญ่ ไม่ได้มาตรฐาน เพราะเป็นการพาไปศึกษาตามคลินิกเอกชนต่างๆ ไม่ใช่การศึกษาในสถาบันการศึกษา ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้การรับรอง จึงไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาใดๆ ทั้งสิ้น และจะสร้างผลเสียในอนาคตต่อวงการศัลยกรรมไทยอย่างแน่นอน

นพ.ชลธิศบอกด้วยว่า การทำศัลยกรรม นอกจากต้องศึกษาตามหลักวิชาการที่ถูกต้องแล้ว ยังต้องใช้เวลาฝึกปรือฝีมือ และเพิ่มพูนประสบการณ์เป็นเวลานาน เช่นตนเองยังใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี กว่าจะเป็นที่ยอมรับอย่างในปัจจุบัน

"ผมอยากให้น้องๆ แพทย์รุ่นใหม่ที่สนใจอยากทำศัลยกรรมจริงๆ ประการแรก ควรศึกษาให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยเข้าฝึกอบรมในระดับบอร์ดที่เกี่ยวข้องกับงานศัลยกรรม ใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากพอ ก่อนที่จะคิดเรื่องการทำธุรกิจ เพราะความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะผู้บริโภค หรือธุรกิจเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อภาพรวมของประเทศไทยด้วย" นพ.ชลธิศ กล่าว

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE56RTNNRGcxTWc9PQ==&sectionid=

Tuesday, December 10, 2013

รามาฯพัฒนาเทคนิค ตรวจ"เอดส์"เร็ว100เท่า

ศูนย์จีโนมทางแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ หรือทีเซลส์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และบริษัทโรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาการตรวจเชื้อไวรัสเอชไอวีกลายพันธุ์ และดื้อยาความไวสูงมากกว่าวิธีเดิมถึง 100 เท่า 



ศ.ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ ร.พ. รามาธิบดี เปิดเผยว่า ในการวิจัยและพัฒนา การเทคโนโลยีการถอดรหัสพันธุกรรมสมัยใหม่ รวมทั้งการวิเคราะห์และการแปลผลเชื้อเอชไอวีดื้อต่อยาต้านไวรัสด้วยโปรแกรม คอมพิวเตอร์ที่อ้างอิงกับฐานข้อมูลเชื้อ เอชไอวีที่ดื้อยาในประเทศไทยซึ่งรวบรวมจากผู้ติดเชื้อนับหมื่นราย มีความไวของการตรวจสูงกว่าการถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อหาเชื้อดื้อยาแบบดั้งเดิมถึง 100 เท่า สามารถตรวจจับเชื้อไวรัสเอชไอวีกลายพันธุ์ในกระแสเลือดปริมาณเล็กน้อยได้ ช่วยให้แพทย์สามารถปรับเปลี่ยนยาต้านไวรัสซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 25 รายการที่ผลิตได้ภายในประเทศได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังจะลดการเกิด Cross-resistance หรือการที่ไวรัสดื้อยาต้านตัวหนึ่งแล้วลามทำให้ดื้อยาต้านตัวอื่นในกลุ่มไปด้วย ทั้งที่ผู้ติดเชื้อยังไม่ได้ใช้ยานั้นๆ 



"ด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้จะช่วยให้ตรวจพบไวรัสเอชไอวีกลายพันธุ์และดื้อต่อยาต้านไวรัสเร็วขึ้นกว่าวิธีเดิม ช่วยให้แพทย์มีข้อมูลปรับเปลี่ยนไปใช้ยาต้านสูตรพื้นฐานตัวอื่นทดแทนได้ทันท่วงที ทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ส่วนใหญ่ไม่ต้องเปลี่ยนไปใช้ยาสูตรสำรองหรือ ยาสูตรสอง ซึ่งมีราคาแพงและส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อันช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของภาครัฐมหาศาล" ศ.ดร.วสันต์กล่าว



ด้านหัวหน้าศูนย์จีโนมทางแพทย์กล่าวต่อว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทย นับว่าโชคดีกว่าประเทศอื่นเนื่องจากตั้งแต่ปีพ.ศ.2547 เป็นต้นมารัฐบาลได้ให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการและรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมกัน โดยภาครัฐเป็นผู้รับภาระด้านค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทำให้โรคเอดส์ในประเทศไทยกลายเป็นโรคที่รักษาได้เพียงแต่ไม่หายขาด 



ปัจจุบันในปี 2556 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์สะสมประมาณ 1,166,543 คน ยังมีชีวิตอยู่จำนวน 447,640 คนในระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมาก และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดจำนวนลงเหลือเพียง 8,959 คน แต่ปัญหาที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือเมื่อมีการใช้ยาต้านไวรัสก็จะเกิดเชื้อดื้อยาติดตามมา 



การตรวจเชื้อเอชไอวีดื้อยาเพื่อปรับเปลี่ยนยาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในปัจจุบัน บางครั้งการตรวจหาเชื้อดื้อยาด้วยวิธีดั้งเดิมตรวจไม่พบตำแหน่งการกลายพันธุ์ใดๆ แต่ผู้ป่วยกลับ ดื้อต่อยาต้านไวรัสที่กำลังใช้อยู่ สังเกตได้จากการมีปริมาณไวรัสในกระแสเลือด (viral load) เพิ่มสูงขึ้น ในกรณีนี้แพทย์จะปรับเปลี่ยนยาให้ไม่ได้เพราะไม่มีข้อมูลการดื้อยา 

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE5qVTJOamN5TVE9PQ==&subcatid=

Friday, November 15, 2013

"ซาโนฟี่"ร่วมกับองค์การเภสัชกรรม ตั้งรง.วัคซีน ในไทย

ซาโนฟี่ ปาสเตอร์เชื่อวัคซีนไทยสดใส ร่วมทุนองค์การเภสัชกรรม-ทุนลัดดาวัลย์สร้างโรงงานใหม่ หวังพัฒนาขีดความสามารถโรงงานขึ้นสู่ฮับอาเซียน ทุ่มงบฯ 700 ล้าน เร่งพัฒนาวัคซีนรวม เสริมศักยภาพสาธารณสุขไทย
นายเอมิน ตูราน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซาโนฟี่ ปาสเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลก หนึ่งในแผนกของซาโนฟี่กรุ๊ป เปิดเผยว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัท องค์การเภสัชกรรม-เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด หรือจีพีโอ-เอ็มบีพี ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างองค์การเภสัชกรรม ซาโนฟี่ ปาสเตอร์ และบริษัท ทุนลัดดาวัลย์ จำกัด เซ็นสัญญาสำหรับการสร้างโรงงานผลิตตัวยาสำคัญสำหรับวัคซีนโรคตับอักเสบบี และผลิตวัคซีนรวม ป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนแบบไร้เซลล์-ตับอักเสบบี ในเข็มเดียว โดยใช้งบฯลงทุน 700 ล้านบาท
รายละเอียดอ่านที่ลิ้งค์ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1383624622

Wednesday, November 6, 2013

ยา Risperidone (Risperdal)ที่เคยใช้รักษาสมาธิสั้นในไทย

บริษัทยาจอห์นสันผู้ผลิตยา Risperdal ถูกฟ้องในสหรัฐ เนื่องจาก จำหน่ายยาตัวนี้ ซึ่งยังไม่ได้รับการรับรองความปลอดภัย ดูรายละเอียดข่าวได้ที่นี่
http://www.mcot.net/site/content?id=527873cb150ba0011e000058#.UnpCk3BFBv9
สหรัฐ 5 พ.ย.- จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน บริษัทยาชื่อดังของสหรัฐแถลงว่า เห็นชอบจ่ายค่าปรับกว่า 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามความผิดจากข้อกล่าวหาว่าทางบริษัทจำหน่ายยาที่ไม่ผ่านการอนุมัติความปลอดภัย

ทั้งนี้ บริษัทจอห์นสัน ถูกกล่าวหาว่า ได้ส่งเสริมการจำหน่ายยาไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยต่อเด็ก คนชรา และผู้ป่วยพิการ ข้อกล่าวหานี้ยังรวมถึงการที่บริษัทยาแห่งนี้จ่ายเงินแก่บรรดาแพทย์และร้านจำหน่ายยาต่างๆ ในการแนะนำและสั่งจ่ายยาริสเพอร์ดัลและอินเวก้า ซึ่งเป็นยารักษาโรคทางจิต รวมทั้งยาเนทรีคอร์ ซึ่งรักษาโรคหัวใจล้มเหลว ข้อกล่าวหาดังกล่าวถูกฟ้องทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง นับเป็นคดีความที่ฟ้องร้องบริษัทยาที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ.-สำนักข่าวไทย

Sunday, October 20, 2013

รายการยาที่ถูกจำกัดการใช้และถูกแบนในหลายประเทศ

รายการยาที่องค์กรต่างประเทศ ไม่ให้ใช้ในประเทศของตัวเอง  เพราะมีผลข้างเคียงที่ยืนยันได้ว่าเกิดอันตรายอย่างมากต่อผู้ใช้ (แต่ในหลายประเทศ เช่น ไทย อินเดียฯยังใช้อยู่ )

อ่านรายละเอียดตามลิ้งค์ข้างล่างนี้
http://www.un.org/esa/coordination/CL-14-Final.for.Printing.pdf

Friday, October 18, 2013

ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการกำจัดยุงลาย

เภสัชกรเชิดเกียรติ แกล้วกสิกิจ หัวหน้ากลุ่มสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค เผยนวัตกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยในการกำจัดลูกน้ำและยุงลายตัวเต็มวัย มีทั้งหมด 11 อย่าง

1. "มะกรูด" บากผิวใส่ลงในภาชนะขังน้ำ 1 ลูกต่อพื้นที่น้ำ 40 ตารางนิ้ว ป้องกันได้ 2 วัน

2. "ปูนแดง หรือปูนกินกับหมาก" ปั้นให้ได้ขนาดเท่าลูกปิงปอง ตากแห้ง 3 วัน 1 ก้อนต่อโอ่งมังกร 1 ใบ หากเป็นใบใหญ่ อาจใช้ 4-5 ก้อน มีฤทธิ์ 3 เดือน ทั้งนี้หากผสมกับน้ำขิงด้วยจะทำให้ลูกน้ำตายในเวลา 5 ชั่วโมง 
3. "อิฐมอญ" นำอิฐมอญไปเผาให้ร้อนจัดจนเป็นสีแดง จากนั้นคีบใส่ในโอ่งน้ำ 1 ก้อน ต่อ 1 โอ่ง ป้องกันยุงลายวางไข่ได้ 1 เดือน

4. "ปลาหางนกยูง" สามารถนำมาเลี้ยงในอ่างต้นไม้น้ำ เพื่อให้ปลาหางนกยูงช่วยกินลูกน้ำยุงลาย โดยเลี้ยงราว 2-10 ตัว พิจารณาตามขนาดของภาชนะ
5. "กาลักน้ำ" เป็นวิธีการดูดน้ำออก โดยใช้สายยางยาว 2 เท่าของความสูงภาชนะ เติมน้ำให้เต็มตลอดสายยาง จากนั้นใช้มือกวนน้ำในภาชนะ แล้วกวาดตะกอนให้รวมตัวอยู่ตรงกลางแล้วนำสายยางดูดตะกอน ลูกน้ำ ตัวโม่งออกให้หมด เมื่อภาชนะนั้นสะอาด จะสามารถป้องกันได้นาน 7 วัน 
6."เกลือแกง" เติมเกลือแกลง 1 ช้อนชา ลงในแหล่งน้ำขนาดเล็ก เช่น ขารองตู้กับข้าว จนกว่าจะพบลูกน้ำอีกครั้ง จึงนำลูกน้ำออกแล้วเติมเกลือซ้ำ
7. "ตาข่ายไนล่อน หรือผ้าขาวบางปิดโอ่ง" โดยตัดให้ได้ขนาดพอดีกับปากโอ่งแล้วรัดหุ้งปิดปากโอ่งให้เรียบร้อย ป้องกันยุงลายมาวางไข่ 
8."ตะไคร้หอม" นำตะไคร้หอมใส่ภาชนะหรือถุง นำไปวางในที่อับ เช่น ตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำ กลิ่นของตะไคร้จะช่วยไล่ยุงไม่ให้มารบกวน
9. "ผงซักฟอก" ใช้ได้ 2 วิธี คือ ใช้ผงซักฟอก 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1-2 ลิตร ค่อยๆ คนอย่าให้เป็นฟอง จากนั้นนำไปใส่ในที่ฉีดน้ำรีดผ้า ฉีดพ่นใส่ยุงให้เปียกแล้วจะทำให้ยุงตายภายใน 10-20 วินาที อีกวิธีคือโรยผงซักฟอกบริเวณที่มีน้ำขัง ใช้ประมาณ 1 ช้อนเกลือแกงต่อปริมาณน้ำไม่เกิน 2 ลิตร ป้องกันได้ 1 เดือน 
10."น้ำยาล้างจาน" นำน้ำยาล้างจานมาเจือจางกับน้ำ ในอัตราส่วน 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ลิตร แล้วฉีดพ่นกำจัดยุงที่มาเกาะพักบริเวณแหล่งน้ำ-ที่อับชื้น หรือเจือจาง 1 ส่วนต่อน้ำ 4 ส่วน เพื่อฉีดพุ่นกำจัดยุงที่มาเกาะพักบริเวณซอกมุมของบ้านหรือตามกองผ้า
11. "ปี๊บดักยุง" ใช้ปี๊บสภาพสมบรณ์ที่ปลดระวางจากการใส่ขนม นำผ้าสีดำใส่เข้าไปภายใน เปิดฝาทิ้งไว้ แล้วนำไปวางบริเวณที่อับของบ้านเพื่อล่อยุงเข้าไปในตอนกลางคืน กระทั่งรุ่งเช้ารีบนำฝาปิดปิ๊บ แล้วนำปี๊บไปตากแดด 1-2 ชั่วโมงให้แสงและความร้อนกำจัดยุงลายในปี๊บ เมื่อยุงตายสามารถนำไปเป็นอาหารปลาได้ เหล่านี้เป็นวิธีกำจัดยุงลายด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย ทำได้ง่ายๆ และประหยัด หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม คลิกดูได้ที่
http://dpc9.ddc.moph.go.th/crd/ ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ โดย ทางแพทย์สายพุทธ

Diane 35-Blood clot


อ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์http://rparun.blogspot.com/2013/01/diane-35.html

Thursday, October 17, 2013

วิธีแก้พิษหมามุ่ย

วิธีแก้พิษหมามุ่ย..... การรักษาพยาบาล ขั้นแรกให้นำขนออกจากผิวหนังโดยสามารถเลือกปฏิบัติได้จากวิธีต่างๆดังต่อไปนี้คือ ถูด้วยดินทรายสะอาด, ถูด้วยข้าวเหนียวที่บีบจนเนื้อเละเข้าหากัน คลึงบริเวณที่เป็นส่วนวิธีที่สะดวกและง่ายที่สุดคือนำสก็อตเทปแปะดึงขนออก จากนั้นจึงรักษาอาการแพ้ คัน โดยทาคาลาไมน์ หรือ ครีมสเตียรอยด์ ข้อควรระวังในการรักษาพยาบาล คือถ้าโดนพิษจากพืชขนห้ามนำไปถูล้างด้วยสบู่เด็ดขาดเพราะจะทำให้ขนยิ่งเข้าไปลึกขึ้น 

ปัญหายาสามัญกับยาต้นแบบ(ยาทำในไทยกับยานอก)

บีบข้าราชการใช้แต่ยาสามัญ/ลดยาต้นแบบ
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์  รมว.สาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก นพ.อำนวย กาจีนะ รองปลัด สธ. แล้วว่าทางกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้ทำหนังสือเวียนแจ้งไปยังสถานพยาบาลในสังกัดหน่วยงานราชการ รวมถึง สธ. ว่ากรมบัญชีกลางเตรียมที่จะปรับเปลี่ยนการเบิกจ่ายค่ายาในระบบสวัสดิการราชการ เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าการรักษาผู้ป่วยในระบบนี้ ส่วนใหญ่สั่งจ่ายยาต้นแบบให้กับผู้ป่วยเป็นหลัก ส่วนยาสามัญนั้นมีการสั่งจ่ายน้อยมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการสนับสนุนการใช้ยาสามัญและลดค่าใช้จ่ายด้านยาของระบบสวัสดิการข้าราชการ กรมบัญชีกลางจึงได้กำหนดหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายใหม่ โดยในกรณีการสั่งจ่ายยาต้นแบบให้โรงพยาบาลบวกกำไรค่ายาได้ไม่เกิน 3% แต่ในกรณีที่เป็นการจ่ายยาสามัญนั้นจะให้บวกกำไรได้มากขึ้น อาจบวกเพิ่มสูงถึง 100-300% ของต้นทุนค่ายา ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการจูงใจสถานพยาบาลสั่งจ่ายยาสามัญเท่านั้น แต่ยังสามารถชดเชยโรงพยาบาลในส่วนกำไรที่สูญหายไปจากการเปลี่ยนสั่งจ่ายยาต้นแบบเป็นยาสามัญ
รายละเอียด อ่านเพิ่มเติมที่ลิงค์http://www.thaipost.net/news/071013/80321
------------------------------------------------------------------------------------------------------------

จากข่าว ตอนนี้มีทั้งกลุ่มที่สนับสนุนและกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย
ข้าพเจ้าได้เจอบทความต่างประเทศ สะท้อนปัญหาเหมือนไทย จึงแปลมาให้อ่านกัน จากลิ้งค์นี้
http://www.huffingtonpost.com/rabbi-shmuly-yanklowitz/pharmaceutical-drug-_b_4067827.html

ชื่อเรื่อง คือ เราจำเป็นต้องปฏิวัติอุตสาหกรรมยา

เขียนโดย Dr.Schmuly นักสอนศาสนาชาวยิวที่เป็นนักเขียนมีชื่อเสียงของอเมริกา
เขาเขียนว่า

ลองนึกดูว่า ถ้าคุณอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในแอฟริกา และลูกของคุณเสียชีวิตจากโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ 

คุณรู้ไม้ว่า ยาที่ใช้รักษานั้นมีต้นทุนการผลิตแค่ $1แต่คุณต้องซื้อในราคา $1,000 ซึ่งคุณไม่มีปัญญาจ่ายแน่นอน คุณได้แต่เฝ้าดูลูกคุณตายพร้อมกับเศร้าใจในราคาแสนแพงของยา

บริษัทผู้ผลิตยา จำเป็นต้องมีต้นทุนในการวิจัยค้นคว้ากว่าจะผลิตยาออกมาได้ ค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงจำเป็นต้องตั้งราคาที่สูงก็จริง แต่ในสถานการณ์อย่างเรื่องข้างบนควรมีข้อยกเว้น


คณะกรรมการวุฒิสภาสหรัฐฯ ครั้งหนึ่งพบว่า บริษัทยาทำกำไรมากเป็น 4 เท่าของกำไรที่บริษัทในธุรกิจอื่น ๆ ทำได้


ในสมัยรัฐบาลของบุช ออกกฏหมายที่สนับสนุนราคายาให้สูงได้ ทำให้คนอเมริกาถูกบังคับให้จ่ายค่ายาในราคาแพงที่สุดในโลก ถ้าต้องการแก้กฏหมาย ก็จะถูกต่อต้านจากพรรครีพับลิกันที่เป็นพรรคฝ่ายค้านในรัฐบาลโอบามาตอนนี้


ผลกระทบจากนโยบายของรัฐต่อประชาชนในประเทศอเมริกา:-

1.ปี2009 คนอเมริกันใช้จ่ายค่ายามากเป็น2 เท่าเมื่อเทียบกับปี1999
2. ปี2010 คนอเมริกันราว 48 ล้านคน มีฐานะการเงินไม่พอจ่ายค่ายาตามใบสั่งแพทย์
3. รายการยาที่ใช้บ่อย 30 รายการ คนอเมริกันต้องซื้อราคาแพงกว่าคนที่อยู่ประเทศอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส ออสเตรเลียถึง2 เท่า
4. คาดว่ามีคนอเมริกัน 1 ล้านคน เดินทางไปแคนาดา เพื่อซื้อยาที่ราคาถูกกว่า  เพราะยาจากแคนาดาห้ามนำเข้าประเทศ เพราะกฏหมายอเมริกาไม่รับรองประสิทธิภาพของยา
5. เภสัชกรที่ประเทศเม็กซิโก ประมาณการว่า 70%ของรายได้ในกิจการร้านยาของเม็กซิโก ได้จากนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันที่ไม่ต้องการซื้อยาแสนแพงในประเทศของตัวเอง

ปกติ สิทธิบัตรยามีอายุ10ปี เมื่อหมดอายุ บริษัทยาอื่น ๆ สามารถเลียนแบบผลิตเองได้ เป็นยาที่ใช้ชื่อสามัญเหมือนกันได้ ดังนั้นตลอด10ปีแรกนี้บริษัทผู้ผลิตยาจะไม่มีคู่แข่ง


แต่ก็ยังโชคดีที่บริษัทผู้ผลิตยาได้ตระหนักถึงราคาที่แพงมากของยา ซึ่งทำให้คนอาจปฏิเสธไม่ใช้ยานั้น

จึงมีการให้ส่วนลดพิเศษ หรือของแถมอื่น ๆพ่วงด้วย

นอกจากนี้ ตอนนี้มีโอบามาแคร์ (Obamacare)(คล้ายกับ 30 บาทของไทย ที่มีก่อนอเมริกาซะอีก) เพื่อให้คนอเมริกันเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้เท่าเทียมกัน ตัวอย่างการใช้ยา Humira (Adalimumab) ใช้รักษาAutoimmune disorder ในโรค Rheumatoid Arthritis มีค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่โครงการโอบามาแคร์สามารถใช้ยาสูตรสามัญรักษา ทำให้คนไข้เข้าถึงยาได้ 


ปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งของอุตสาหกรรมยา คือ มักจะขาดการวิจัยพัฒนาในโรคที่ไม่ค่อยมีคนเป็น (rare disease)  เพราะไม่มีแรงจูงใจในเรื่องการทำกำไรจากยา  (ตอนนี้หันไปวิจัยเรื่องหย่อนสมรรถภาพทางเพศกับเรื่องหัวล้าน)


อย่างไรก็ตาม ในปี 1990 เด็กมากกว่า 12 ล้านคน เสียชีวิต ก่อนอายุ 5 ขวบ แต่ตัวเลขนี้มีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ จนปัจจุบันจำนวนเด็กที่เสียชีวิตอยู่ที่ 6 ล้านคน  มูลนิธิที่บิลเกตต์และภรรยาได้ก่อตั้งขึ้น ได้พัฒนาวัคซีนและยาที่ใช้ช่วยชีวิต เขากล่าวว่า จะทำให้ตัวเลขเด็กที่เสียชีวิตก่อน 5 ขวบ ลดลงจนน้อยกว่า 1 ล้านคน 


อ่าน สารพัดปัญหา ขัดขวางการพัฒนา "ยาสามัญไทย"
http://www.hfocus.org/content/2013/10/5203

Wednesday, October 16, 2013

เสี่ยงตายเร็ว! รายนาม 5 สารเร่งขาวมรณะที่สาวๆ ต้องหลีกไกล

จากผู้จัดการออนไลน์
ค่านิยมที่คิดว่า การมี ผิวขาวผ่องออร่า จะทำให้ผู้หญิงสวยกว่าสาวผิวคล้ำ เห็นได้จากโฆษณาทางทีวี อินเตอร์เน็ต ขาวปุ้บผู้ชายตรึม!
       

       
แม้จะออกมาเตือนกันไปไม่รู้ต่อกี่รอบ ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ขาวได้เฉียบพลัน ผลที่ตามมาย่อมอันตรายเสมอ แต่สาวๆ ผู้คลั่งความขาวก็ไม่เคยยอมฟัง แม้จะผิวพังก็ตาม
     
       
เราลองมาดูข้อมูลย้ำเตือนกันตรงนี้อีกว่า สารตัวใดบ้างที่เร่งให้ผิวขาว แต่อันตรายอื้อซ่า!
     
       
สารเร่งขาวมรณะหมายเลข1 : ครีมผสมสารสเตียรอยด์
       ล่าสุด สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยออกโรงเตือน จากกรณีเด็กนักเรียนได้หันมาใช้ครีมทาผิวขาวที่มีส่วนผสมของสารโคเบตาซอล (สเตียรอยด์) และเกิดอันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะผิวหนังเกิดอาการไหม้ แตกลายสีขาว มีรอยแดง มีลักษณะเหมือนคนอ้วนหรือคนตั้งครรภ์นั้น ขอให้นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป ควรระมัดระวังในการเลือกใช้ครีมทาผิวขาวเหล่านี้ ทั้งในส่วนที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป หรือตามเว็บไซต์ต่างๆ ขอให้หยุดการใช้ครีมเหล่านี้ทันที เนื่องจากสารโคเบตาซอล เป็นสเตียรอยด์ชนิดที่แรงที่สุด เอาไว้รักษาโรคผิวหนังอักเสบที่เป็นเรื้อรัง หรือเป็นผื่นหนา และมีคำเตือนเลยว่าห้ามใช้ติดต่อกันเกิน 4 สัปดาห์
     
       
สารนี้จัดเป็นยาและไม่สามารถอยู่ในเครื่องสำอางได้ สารชนิดนี้ออกฤทธิ์ที่ผิวหนังถึงชั้นแท้และอาจเป็นผลถาวร ซึ่งผลของมันนอกเหนือจากการไปยับยั้งเม็ดสียังไปรบกวนเรื่องของการสร้างอิลาสตินคอลเจนของผิวหนังแล้ว ยังทำให้เกิดการแตกลายงาของผิวหนัง ทำให้ผิวบางและเส้นเลือดขยาย ถ้าไปทาที่หน้า หรือบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะจะทำให้เกิดสิวได้ ซึ่งรักษายากกว่าสิวทั่วไปด้วย และเมื่อผิวบางโดนอะไรจะแพ้ง่ายและมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้ด้วย
     
       
ครีมสเตียรอยด์มีประโยชน์ คือ แก้แพ้ แก้คัน แก้ผื่นผิวหนังอักเสบ บางคนพอใช้แล้วหน้าเรียบ ก็เลยใช้ต่อเนื่อง ถ้าใช้ช่วงสั้นๆ ไม่เป็นไร แต่ถ้าใช้นานๆ จะติด ไม่ใช้ไม่ได้ และเพิ่มความแรงของยาขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดปัญหาหยุดไม่ได้ พอหยุดผิวหนังจะอักเสบเห่อขึ้นมา รักษายาก
     
       
สารเร่งขาวมรณะหมายเลข2 : สารไฮโดรควิโนน ปรอท
       "ครีมผิวขาวมรณะระบาดตลาด ชายแดนไทย-เขมร ลูกสาวนายตำรวจกัมพูชาตกเป็นเหยื่อใช้แล้ว ถึงช็อกตาย หลังเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเลยซื้อครีมเวียดนามในฝั่งปอยเปตมาพอกตัว พอทาได้ 2 ชั่วโมง เกิดแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ญาติต้องพาส่งโรงพยาบาล แต่อาการหนักเกิดหมดสติ ผิวลอกเป็นแผ่น พ่อติดต่อเจ้าหน้าที่ไทยข้ามมารักษาที่โรงพยาบาลใน จ.สระแก้ว แต่หมอไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ ระบุสาเหตุเกิดจากพิษสารปรอท ทำให้ตับวายเฉียบพลัน" ช็อกไหมล่ะคะ ทาได้เพียง 2 ชม.เท่านั้นเองก็สิ้นชีวิต
     
       
ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เคยเป็นสารที่นิยมใช้กันมากในครีม หรือ โลชั่นป้องกันฝ้า ความเข้มข้นไม่เกินร้อยละ 2 สารนี้ออกฤทธิ์ลดการสร้างเมลานิน ในขั้นตอนแรกของการสร้างเมลานิน ผลคือลดการสร้างเมลานินของไฮโดรควิโนนเป็นเพียงชั่วคราว หากหยุดใช้จะกลับเป็นอย่างเดิมหรือเป็นมากกว่าเดิม
     
       ข้อดีคือ ไม่ทำลายเซลล์สร้างสี ไฮโดรควิโนนมักทำให้เกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับกรดวิตามินเอ และหากใช้ไฮโดรควิโนนติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 6 เดือน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำ
     
       ดังนั้นไฮโดรควิโนนจึงถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง 
ปรอทแอมโมเนีย เคยเป็นที่นิยมใช้กันมากเช่นเดียวกับไฮโดรควิโนน ในครีมป้องกันฝ้าเรียกว่า ครีมไข่มุก โดยใช้ในอัตราส่วนไม่เกิดร้อยละ 3.0 ปรอทแอมโมเนียรบกวนเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase โดยรวมตัวกับโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ หรือโดยการจับกับไอออนทองแดงที่มีอยู่ในเอนไซม์ ทำให้ลดการสร้างเมลานิน การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี่สวนผสมของปรอทแอมโมเนียติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้มีการสะสมปรอทในผิวหนัง และดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้ตับและไตพิการ โรคโลหิตจาง
       

       
สารเร่งขาวมรณะหมายเลข3 : กลูต้าไธโอน
       กลูตาไธโอน (glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เซลล์ในร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วย
     
       
ในทางการแพทย์พบว่ามีการนำกลูตาไธโอนมาทดลองใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งยังไม่ได้รับการอนุมัติข้อบ่งใช้จากองค์การอาหารและยา เช่น ภาวะเป็นหมันในเพศชาย ปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก วิธีการรักษามักทำโดยการฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ
     
       ผลข้างเคียงอย่างหนึ่งที่น่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการฉีดกลูตาไธโอนนั้นมีสีผิวที่ขาวขึ้น เนื่องมาจากกลูตาไธโอนสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ได้ และส่งผลให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผู้พยายามนำผลข้างเคียงของยามาใช้ในการทำให้ผิวขาวขึ้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นการนำยามาใช้ในทางที่ผิดอีกรูปแบบหนึ่ง
     
       
ผลิตภัณฑ์กลูตาไธโอนที่พบในท้องตลาดส่วนใหญ่นั้นเอยู่ในรูปยาเม็ดหรือผงละลายน้ำสำหรับรับประทาน ซึ่ง กลูตาไธโอนนี้สามารถถูกทำลายได้ในทางเดินอาหารของมนุษย์ ดังนั้นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการรับประทานกลูตาไธโอนในรูปแบบของยารับประทานนั้นแทบจะไม่มีเลย ที่ผ่านมาจึงพบว่ามีผู้พยายามนำกลูตาไธโอนในรูปแบบยาฉีดมาใช้แทนการรับประทานกันมากขึ้น เนื่องจากเชื่อว่ากลูตาไธโอนชนิดฉีดนั้นมีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวขาวได้ดีกว่าและเห็นผลเร็วกว่ากลูตาไธโอนชนิดรับประทาน
     
       
ข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำ มีโอกาสที่จะแพ้ได้ ทั้งการแพ้สารกลูต้าไธโอน เอง หรืออาจจะแพ้ สารฆ่าเชื้อ หรือ สารกันเสีย หรือสารปนเปื้อน ขณะนี้มีรายงานในต่างประเทศว่าผู้ ที่ได้รับการฉีดกลูต้าไธโอนขนาดสูงที่ใช้กันอยู่มีอาการช็อค ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
     
       
ทว่า..ที่สำคัญการฉีดกลูต้าฯเข้าเส้น เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย!
     
       
สารเร่งขาวมรณะหมายเลข4 : ฉีดวิตามินซีเข้าเส้น
       เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ฮิตกันมานานแล้วในการฉีดวิตามินซีเข้าเส้นเลือด แม้แต่เพื่อนผู้เขียนยังเคยฉีดกันหลายคน พวกนางล้วนบอกว่า ผิวดูใสขึ้น ทั้งที่ในความเป็นจริง ผิวเหมือนเดิมเป๊ะ! มีคลินิกเสริมความงามดังๆ ให้บริการฉีดวิตามินซีเป็นคอร์สราคาเป็นหมื่น สาวๆ ที่เชื่อและไม่มีเงินไปซื้อคอร์สแพงๆ ก็ใช้วิธีสั่งซื้อทางเน็ต ไปฉีดกันเอง เพราะมีประกาศขายวิตามินซี ราคาถูกมาก ใครก็เข้าไปสั่งซื้อไปฉีดเองได้ เหมือนโฆษณาขายอาหารเสริมหลอกลวงที่ขายกันอย่างเปิดเผย
     
       
เด็กสาววัยรุ่นมากมายมาที่คลินิกความงาม ซื้อวิตามินซีจากร้านทางอินเตอร์เน็ตให้หมอหรือพยาบาลฉีด เป็นวิตามินซีบรรจุหลอดในแผง 10 หลอด เธอเล่าว่า เพื่อนไปฉีดที่คลินิกครั้งละ 2 หลอด เข้าเส้นเลือดดำ เสียค่าฉีดให้หมอครั้งละ 50 บาทเท่านั้น
     
       
การใช้วิตามินซีที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์รองรับมีเพียงอย่างเดียวคือ รักษา และป้องกันการขาดวิตามินซี รวมทั้งภาวะ ลักปิดลักเปิด หรือ เลือดออกตามไรฟัน ไมได้ช่วยเรื่องผิวขาว ดังนั้นต้องเข้าใจกันเสียก่อนว่า การฉีดอะไรก็ตามเข้าเส้นเลือดดำ มันเสี่ยงมากกับชีวิต!
     
       
เพราะฉีดยาในอัตราที่เร็วเกินไป การติดเชื้อในกระแสเลือดจากเครื่องมือที่ไม่สะอาดเ การเกิดฟองอากาศอุดตันหลอดเลือดเนื่องจากผู้ฉีดยาไล่ฟองอากาศในเข็มฉีดยาไม่หมด เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อผู้ที่ได้รับยาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
     
       
สารเร่งขาวมรณะหมายเลข5 : คอลลาเจนผง
       “ดื่มแล้วผิวเนียนกระจ่างใส ช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน ลองดูก่อน 7 วัน” บวกกับดาราหน้าใสกิ๊กถือกล่องคอลลาเจนผงถ่ายลงอินสตราแกรม ดาราหน้าสวยผิวใสการันตีขนาดนี้ใครจะไม่เชื่อบ้างล่ะ
     
       
การกินคอลลาเจนไม่ได้ช่วยเรื่องผิวพรรณเลย เว้นแต่ว่าคุณต้องได้รับคอลลาเจนผ่านการฉีด หรือใช้เครื่องมือพิเศษผลักไออนนำคอลลาเจนเข้าไป หรือร้อยไหม, ยิงเลเซอร์บางตัวเข้าไป เพื่อกระตุ้นให้คอลลาเจนตื่น
     
       “คอลลาเจนมันคือ ตั้งแต่ผม เล็บ เนื้อ หนัง กล้ามเนื้อ ล้วนเป็นคอลลาเจน สรุปง่ายๆ คอลลาเจนคือ เนื้อตัวเรา จริงๆ แล้วก็คือโปรตีน มันก็มีอยู่ในสัตว์อื่นๆ ทั้งหลาย ทีนี้เวลาที่สกัดคอลลาเจนมา มักจะโฆษณากันว่า คอลลาเจนผงจากปลาทะเลน้ำลึก หรือไม่ก็คอลลาเจนบริสุทธิ์ พวกเค้าต้องมีกิมมิค (gimmick) ให้ดู precious เป็นของล้ำค่า คอลลาเจนจากหอยเป๋าฮื้อ จากหอยมุก จากไข่ปลาคาเวียร์
     
       
เมื่อก่อนมีมาคอลลาเจนจากญี่ปุ่นที่มาใส่ในหม้อไฟ เรียกกันว่า กินคอลลาเจนสดๆ แต่พอแปรรูปเป็นผง ซึ่งพวกเราไม่มีทางรู้เลย ผสมแป้งไหม มีสารปนเปื้อนอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ ส่วนใหญ่เน้นชูธงว่า เป็นคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก ดังนั้นข้อเสียอย่างแรกคือ แพ้
     
       
หากกินแล้วรู้สึกคลื่นไส้ ถือว่าเป็นระดับอนุบาล แต่ถ้าแพ้รุนแรง จะบวมเป็นผื่นขึ้น ถึงขั้นแน่นหน้าอก หลอดลมตีบ หายใจไม่ออกได้เลย ยิ่งคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก คนที่แพ้อาหารทะเล กินคอลลาเจนชนิดนี้ไม่ได้นะ เพราะจะเกิดอาการแพ้รุนแรง เตือนคนที่แพ้อาหารทะเล ต้องดูที่มาของคอลลาเจนด้วย
       ข้อเสียที่สองเป็นของแถม ได้แก่ สารปนเปื้อน อย่างที่บอกถ้าเป็นคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก มักจะมีพวกโลหะหนักที่ติดมาจากทะเลน้ำลึก ได้แก่ พวกตะกั่ว ปรอท หรือพวกสารปนเปื้อนอื่นๆ”
     
       
ข้อเสียที่สาม ถ้ากินทุกวัน ไตทำงานหนักแน่นอนเลยครับ เพราะคอลลาเจนผ่านทางไต มันจะทำให้ไตทำงานเหนื่อยมาก นอกจากข้าวประจำวัน ยังต้องมาทำงานล่วงเวลาขับคอลลาเจนอีก ดังนั้นใครที่มีปัญหาเรื่องไต เป็นโรคไต ไม่ควรกิน รวมทั้งคนที่อยากสวยแต่อายุเยอะแล้ว ต้องระวังมากๆ
     
       
“ถามว่าทำไมคอลลาเจนผงถึงกำลังเป็นที่โด่งดัง คงจะเป็นเรื่องของการมาร์เก็ตติ้งมากกว่าครับ” นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าว
     
 
http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9560000125725

Monday, October 14, 2013

สารปรอทในอุปกรณ์แพทย์มีอันตราย

ฮูรณรงค์เลิกใช้สารปรอทในอุปกรณ์การแพทย์

 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า องค์การอนามัยโลก (ฮู) และกลุ่มเฮลธ์แคร์วิทเอาท์ฮาร์ม ได้เริ่มต้นโครงการกำจัดสารปรอทให้หมดไปจากเครื่องวัดอุณหภูมิทางการแพทย์ภายในปี ค.ศ.2020 ไม่ว่าจะเป็นในปรอทวัดไข้หรืออุปกรณ์วัดความดันโลหิต 


       

 นางมาร์กาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการของฮูแถลงว่า สารปรอทเป็นหนึ่งในสารเคมี 10 ชนิดที่เป็นอันตราย และเป็นสารที่สามารถฟุ้งกระจายเข้าไปและคงอยู่ในระบบนิเวศไปอีกหลายชั่วอายุคน เป็นเหตุให้เกิดการเจ็บป่วยรุนแรงและเกิดพิการทางสมอง

 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา บรรดาตัวแทนจาก 140 ประเทศและเขตดินแดน ร่วมประชุมกันที่เมืองมินามาตะ ประเทศญี่ปุ่น และได้ลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยสารปรอทแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เพื่อควบคุมการใช้สารปรอท โดยเมืองมินามาตะเป็นเมืองที่เคยเกิดวิกฤตสารปรอทครั้งใหญ่ขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 และทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 2,000 คน เนื่องจากกินปลาและอาหารทะเลที่ได้จากน้ำทะเลที่ปนเปื้อนสารปรอทที่ถูกปล่อยออกจากโรงงานในพื้นที่


อ่านเรื่องเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์นี้คะhttp://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=174

จะกินแมลงทอดต้องระวัง

นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ตามที่มีข่าวหญิงสาวซึ่งมีโรคประจำตัวเป็นภูมิแพ้ใน จ.นครศรีธรรมราช กินตั๊กแตนทอดและเกิดอาการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ช็อกหมดสติเสียชีวิต เบื้องต้นแพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่า เกิดจากการกินอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนในปริมาณที่สูงเกินกว่าร่างกายจะรับได้ว่า ในแมลงทอดพบสารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดอาการของผู้ป่วย เนื่องจากสารฮีสตามีนเป็นสารที่พบในอาหาร ซึ่งจะพบในปริมาณมากขึ้นในอาหารประเภทโปรตีนบางชนิดที่มีฮีสตาดีนสูง และมีการปนเปื้อนแบคทีเรียในปริมาณสูง โดยเกิดจากการที่แบคทีเรียบางชนิดสามารถเปลี่ยนฮีสตาดีนเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ไปเป็นฮีสตามีน แต่ร่างกายสามารถทำลายได้จนไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

นพ.อภิชัยกล่าวว่า ตามมาตรฐานกำหนดปริมาณฮีสตามีนในอาหารระดับสูงสุดของแต่ละประเทศแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดอาหาร โดยมีได้ตั้งแต่ 100-200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เมื่อกินแมลงทอดที่ไม่สะอาดและมีฮีสตามีนสูงจะทำให้ไปเพิ่มฮีสตามีนในร่างกาย ส่งผลให้เกิดอาการทั้งทางด้านผิวหนัง ระบบทางเดินอาหาร และระบบทางเดินหายใจ เช่น ผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแดง เป็นลมพิษ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และหอบหืด เป็นต้น


"สารฮีสตามีนดังกล่าวอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติตั้งแต่เล็กน้อยจนเสียชีวิต ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และปริมาณอาหารที่ได้รับ รวมทั้งช่วงเวลาที่ได้รับด้วย ดังนั้นจึงขอเตือนประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือผู้มีประวัติภูมิแพ้หรือหอบหืด ควรหลีกเลี่ยงการกินแมลงทอด เพราะอาจทำให้ได้รับสารฮีสตามีนปริมาณมาก จนส่งผลให้อาการแพ้กำเริบ" นพ.อภิชัยกล่าว และว่า ผู้ที่ชอบกินแมลงทอดควรสังเกตว่า แมลงทอดดังกล่าวเป็นแมลงที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และมีการนำมากินหรือไม่ และควรเป็นแมลงที่จับมาแล้วมีการเก็บรักษาในตู้แช่เย็นก่อนปรุงเป็นอาหาร เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรีย ส่วนปีก ขน ขา หรือหนามแข็งของแมลงควรเด็ดทิ้งก่อนกิน เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ นอกจากนี้ ให้ระมัดระวังน้ำมันทอดซ้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงสารประกอบโพลาร์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย

Xylazine ยารักษาสัตว์เอามามอมยาคน

มีข่าวที่คนร้ายนำยาชนิดหนึ่งใส่ในน้ำและอาหารให้ผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลทาน ทำให้เหยื่อหมดสติและปลดทรัพย์ไป ทางโรงพยาบาลเจาะเลือดผู้ป่วยตรวจเจอสารไซลาซีน ซึ่งเป็นยาที่ใช้กับสัตว์
มาดูรายละเอียดของยาตัวนี้กัน:-
นายสัตวแพทย์ (นสพ.) อลงกรณ์ มหรรณพ สัตวแพทย์อาวุโสผู้เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์ป่า กล่าวว่า ไซลาซีนเป็นยาสลบชนิดหนึ่ง ที่สัตวแพทย์ใช้กับสัตว์ใหญ่ คือ ช้าง ม้า วัวแดง กระทิง ลิงชิมแปนซี อุรังอุตัง และกอริลลา โดยยาชนิดนี้เป็นยาที่อันตรายมาก สัตวแพทย์ที่ใช้ยาชนิดนี้กับสัตว์ตัวไหน ก็จะต้องเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือกรณีที่อาจจะเกิดเหตุฉุกเฉินเอาไว้เลย เช่น น้ำเกลือ ยาแก้ และอุปกรณ์จำเป็นอื่นๆ เพราะสัตว์อาจจะช็อกตายทันทีที่ใช้ยาตัวนี้ได้ ไซลาซีนเป็นยาที่มีฤทธิ์ควบคุมประสาทส่วนกลาง ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ซึม ร่างกายหยุดการเคลื่อนไหว หากใช้ในปริมาณไม่เหมาะสมจะทำให้ระบบหายใจ และระบบทางเดินหายใจล้มเหลว

"ยาชนิดนี้ไม่ได้มีขายในร้านขายยาทั่วไป แต่จะขายเฉพาะในร้านขายยา ที่ขายยารักษาสัตว์เท่านั้น คนที่จะซื้อได้คือ สัตวแพทย์ที่มีใบอนุญาตผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ชั้น 1 เท่านั้น การใช้ เราก็จะใช้สำหรับยิงยาสลบในสัตว์ป่า ยาจะออกฤทธิ์ภายใน 10-15 นาที แล้วแต่ความเข้มแข็งของสัตว์นั้นๆ หรือสัตว์ใหญ่ๆ ที่อยู่ในกรง เช่นลิง ชิมแปนซี สัตว์ที่ได้รับยาจะมีอาการซึม หยุดการเคลื่อนไหว กรณีเป็นสัตว์ใหญ่ในกรงกรณีของลิงชิมแปนซี ซึ่งเป็นสัตว์ที่ฉลาดและค่อนข้างว่องไว สัตวแพทย์อาจจะใช้วิธีผสมน้ำให้ดื่ม ซึ่งต้องรอราว 30-45 นาที กว่ายาจะออกฤทธิ์ ให้สัตว์เซื่องซึม" นสพ.อลงกรณ์กล่าว

นสพ.อลงกรณ์กล่าวว่า การนำไซลาซีนมาใช้แบบผิดประเภท เช่น ใช้กับคน หรือใช้กับสัตว์แต่มีปริมาณมากเกินไป ก็จะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ทันที
ข่าวจากมติชน

ล่าสุด จับคนร้ายได้แล้ว นำมาสอบสวน คนร้ายบอกว่า เห็นสัตว์แพทย์ในคลินิก ใช้ยากับสัตว์ที่ดุร้ายเพื่อให้เชื่องจะได้รักษาทำแผลให้ จึงซักถามวิธีใช้แล้วขอซื้อยาจากคลินิกมา 3 ขวด มาก่อคดีกับพระและคนชราตามโรงพยาบาล จนถูกจับได้คราวนี้

และเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2556 ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ อย. กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการยาว่า จากกรณีคดีการมอมคนไข้และญาติคนไข้ในโรงพยาบาล โดยใช้ "ยาไซลาซีน" (Xylazine) เป็นยาสำหรับสัตว์ แต่นำมาผสมน้ำเพื่อก่อคดีนั้น ที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการพิจารณาการขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนปัจจุบันสำหรับสัตว์ ได้มีการพิจารณาควบคุมยากลุ่มดังกล่าว และได้นำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการยา เพื่อขอความเห็นชอบ 

ล่าสุดคณะกรรมการยามติเห็นชอบตามที่คณะอนุกรรมการเสนอ คือ ยกระดับยาใน 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มแอลฟา ทู แอดดริเนอจิก อโกนิสต์ (Alpha-2-adrenergic agonist) ซึ่งสารไซลาซีนอยู่ในกลุ่มนี้ 2.กลุ่มเบนโซไดอาซีพีน เดริเวทีฟ (Benzodiazepine derivative) 3.กลุ่มบิวไทโรฟีโนน เดริเวทีฟ (Butyrophenone) และ 4.กลุ่มฟีโนไทอาซีน เดริเวทีฟ (Phenothiazine derivative) 


ทั้งนี้ ยาทั้ง 4 กลุ่ม จัดเป็นยาสำหรับสัตว์ที่ออกฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลาง โดยยกระดับจากยาอันตราย คือยาที่สามารถซื้อได้ตามร้านขายยา ที่มีเภสัชกรเป็นผู้จำหน่าย ให้เป็น "ยาควบคุมพิเศษ" คือยาที่ต้องมีใบสั่งจากสัตวแพทย์เท่านั้นจึงจะซื้อได้ หลังจากนี้จะเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนาม เพื่อประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป 
"หลังจากยกระดับก็จะมีความเข้มงวดในการใช้ยาทั้ง 4 กลุ่มมากขึ้น  โดยต่อจากนี้ต้องมีข้อความในฉลากและเอกสารกำกับยา ดังนี้ "ขายยาตามใบสั่งผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ชั้นหนึ่งเท่านั้น และใช้ภายใต้การกำกับดูแลโดยผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ชั้นหนึ่งเท่านั้น และให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายจัดทำบัญชีและเก็บรายงานไว้ที่สถานประกอบการผลิต นำเข้าและจำหน่าย ไม่น้อยกว่าวันหมดอายุของรุ่นการผลิตของยานั้น เพื่อให้ อย.ตรวจสอบได้"

นอกจากนี้ จะมีโทษในกรณี 1.ผู้รับอนุญาตคือเจ้าของร้านขายยา หรือสถานพยาบาลสัตว์ หากไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบจะมีโทษปรับ ตั้งแต่ 2,000-10,000 บาท และ 2.ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการหรือเภสัชกรและสัตวแพทย์ หากมีการจำหน่ายยาที่ไม่มีใบสั่งจากสัตวแพทย์จะมีโทษปรับ 1,000-5,000 บาท" นพ.ปฐมกล่าว
อ่านรายละเอียดข่าวได้ที่ลิ้งค์ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1383127405&grpid=03&catid=19&subcatid=1904

โรงพยาบาลใหญ่จะมีความแออัดน้อยลง ถ้าบริการปฐมภูมิใกล้บ้านมีคุณภาพ

คุณหมอโกมาตย์ จึงเสถียรทรัพย์ เขียนไว้ว่า
ทำไมต้องสร้างระบบการดูแลสุขภาพปฐมภูมิใกล้บ้านให้เข้มแข็ง
(เขียนไว้ในสถานการณ์ที่ระบบบริการปฐมภูมิถูกทอดทิ้งและขาดการเหลียวแล)
-------------------------------------------------------------------
1) บริการปฐมภูมิเป็นระบบที่จะกระจายอยู่ใกล้บ้าน ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ไม่ว่าจะยากดีมีจน
2) บริการปฐมภูมิอยู่ใกล้บ้าน จะทำงานส่งเสริมสุขภาพได้ดี เพราะสุขภาพดีเป็นผลลัพธ์จากพฤติกรรม ความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่จะเป็นผลลัพธ์จากการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์
3) ความเจ็บป่วยมากกว่าร้อยละ 90 สามารถรักษาให้หายได้ด้วยบริการปฐมภูมิและการดูแลสุขภาพตนเองในระดับครอบครัวและชุมชน
4) ระบบบริการปฐมภูมิเป็นจุดติดต่อเริ่มแรกที่ให้คำปรึกษาแนะนำและเข้าถึงบริการในระดับอื่นๆ
5) บริการปฐมภูมิดูแลความเจ็บป่วยเรื้อรังได้ดี เพราะติดตามดูแลได้ต่อเนื่องและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและให้การดูแลได้ทั้งครอบครัว
6) โรงพยาบาลใหญ่จะมีความแออัดน้อยลง ถ้าบริการปฐมภูมิใกล้บ้านมีคุณภาพ
7) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลใหญ่จะมีเวลาดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาแทรกซ้อนได้ละเอียดถี่ถ้วน
 ระบบปฐมภูมิสามารถติดต่อประสานงานและอำนวยความสะดวกเมื่อจำเป็นต้องไปโรงพยาบาลใหญ่ เช่น การนัดหมาย การเตรียมตัวของผู้ป่วย หรือการขอข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจรักษา
9) ระบบบริการในโรงพยาบาลใหญ่เน้นการตรวจรักษาเฉพาะทาง ขาดความเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ป่วยได้ ระบบบริการปฐมภูมิช่วยเสริมส่วนนี้ได้ดี
10) ผู้ป่วยจะเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางน้อย
11) การแก้ปัญหาและเยียวยาความทุกข์ที่เกิดจากโรคและความเจ็บป่วยนั้นบ่อยครั้งต้องการการดูแลและความร่วมมือจากครอบครัว บริการระดับปฐมภูมิเป็นบริการที่ใกล้ชิดกับครอบครัวที่สุด
12) ความเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ชัดเจน ระบบบริการปฐมภูมิช่วยในการดูแลและติดตามอาการและความเปลี่ยนแปลงของโรคได้ใกล้ชิดเพื่อการวินิจฉัยที่ชัดเจนขึ้นได้
13) โรคบางอย่างเป็นสิ่งที่สังคมรังเกียจ การเยียวยาความทุกข์ที่เกิดจากสังคมนี้ต้องทำงานใกล้ชิดกับชุมชนเพื่อลดความรังเกียจเดียดฉันท์และส่งเสริมให้ชุมชนให้โอกาสแก่ผู้ป่วย
14) ชุมชนไม่ได้เป็นภาชนะว่างที่ไร้ซึ่งศักยภาพในการจัดการปัญหาสุขภาพของตนเอง ระบบสุขภาพชุมชนอาจสามารถสร้างเครือข่ายการช่วยเหลือดูแลกันให้เข้มแข็งขึ้นได้
15) สุขภาพดีมีรากฐานมาจากครอบครัวและชุมชนที่เข้มแข็ง ระบบสุขภาพปฐมภูมิมีภารกิจสำคัญคือการสร้างเสริมระบบสุขภาพชุมชนให้มีศักยภาพ เข้มแข็งและพึ่งตนเองได้
16) การสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่ดีเป็นสิทธิพื้นฐานของทุกคน และเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนได้รับบริการสุขภาพที่ดีด้วยการรวมศูนย์บริการไว้ที่โรงพยาบาลใหญ่ในเมือง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีบริการดีใกล้บ้าน
17) การพัฒนาด้านสุขภาพของประชาชนเป็นภารกิจที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ระบบการดูแลสุขภาพปฐมภูมิเป็นระบบที่เน้นการทำงานแบบบูรณาการที่ผสมผสานทั้งการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคมและสุขภาพ
18) ประสบการณ์จากนานาประเทศในการปฏิรูประบบบริการสุขภาพตอกย้ำว่า การปฏิรูปการเงินการคลังของระบบบริการสุขภาพ (health care financing reform) อย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับการสร้างความเป็นธรรม เท่าเทียม และมีคุณภาพบริการที่ดีได้หากปราศจากการสร้างเครือข่ายบริการปฐมภูมิ (Network of primary care providers) ที่เข้มแข็ง

Sunday, October 13, 2013

ควรแปรงฟันบ่อยแค่ไหน และแปรงเมื่อไหร่ดี?

American Dental Association แนะนำว่าเราควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้าและก่อนนอน การแปรงฟันโดยเฉพาะการแปรงฟันที่ถูกวิธี ที่เรียกว่า "แบบขยับปัด" จะช่วยกำจัดคราบพลัค (กลุ่มแบคทีเรียที่เกาะบนผิวฟันที่ก่อให้เกิดฟันผุ และเหงือกอักเสบ) และ อาหารที่อยู่บนตัวฟันออก 

หลังจากคุณทานอาหารหรือขนมที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสม แบคทีเรียเหล่านี้จะนำน้ำตาลเป็นอาหารและปล่อยกรดมาทำลายผิวฟันจนเกิดเป็นรู และแบคทีเรียยังทำให้เหงือกรอบๆฟันอักเสบ หากไม่มีการแปรงออก การสะสมจะกลายเป็นคราบบนฟันใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นหินปูน และเกาะแน่นขึ้น แปรงไม่ออก ต้องอาศัยหมอฟันในการขูดหินปูนกำจัดออก 

ส่วนเมื่อไหร่ที่ควรแปรงนั้น คุณควรพิจารณาจากอาหารที่คุณทาน ถ้าคุณทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวหริือเป็นกรด หรือมีส่วนผสมของโซดา ควรหลีกเลี่ยงการแปรงฟันหลังจากทานอย่างน้อย 30 นาที เพราะกรดเหล่านี้ทำให้ผิวฟันถูกกัดกร่อน หากแปรงฟันหลังจากทานทันทีจะยิ่งทำให้ผิวฟันเสีย 

ถ้าคุณทราบว่าจะทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่เป็นกรด แนะนำให้แปรงฟันก่อนทาน 

นอกจากการแปรงฟัน American Dental Association ยังแนะนำอีกดังนี้
-ใช้ไหมขัดฟัน
-ทานอาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ทานอาหารระหว่างมื้อหรือขนมจุบจิบ
-เปลี่ยนแปรงทุก3เดือน 
-ตรวจฟันทุก6เดือน 

ไม่ยากใช่ไหมครับ แปรงทุกวัน แปรงนานๆ แต่ถ้าแปรงผิดวิธีก็ไม่เกิดประโยชน์ เค้าถึงว่า "คุณภาพการแปรง ดีกว่าปริมาณในการแปรง" แปลง่ายๆ คือ แปรงผิดวิธี หากแปรงวันละ หลายๆครั้งก็ไม่ได้ช่วยอะไร

จาก เฟสบุ๊คของ ใกล้หมอ"ฟัน"

Saturday, October 12, 2013

Caffeine Overdose


วันนี้เจอข่าวต่างประเทศ พบคนเสียชีวิตจากการเกิด caffeine overdose ในร่างกาย
ผู้ชายคนนี้ชื่อ จอห์น แจ๊คสัน มีอาชีพช่างทาสีและช่างตบแต่ง ได้ไปซื้อลูกอมมิ้นท์ชื่อ HERO มาทาน 1 ห่อมี 12 อัน ที่ฉลากจะระบุว่า ลูกอม1 เม็ด ให้พลังงานเท่ากับน้ำดื่มชูกำลัง 1 กระป๋อง(ในข่าวเปรียบเทียบกับน้ำดื่มชูกำลังของไทยยี่ห้อหนึ่งที่ขายที่โน่นด้วย) และไม่ควรทานเกินวันละ 5 เม็ด

ชายคนนี้ ปกติชอบดื่มแอลกอฮอล์มีโรคประจำตัว คือตับแข็ง
ภรรยาและลูกสะใภ้บอกว่า  เขาชอบซื้อลูกอมหวาน ๆ มาเคี้ยวเล่น แต่คราวนี้ที่ร้านค้ามีการลดราคาเขาก็เลยซื้อยี่ห้อนี้มา โดยอาจไม่ทราบว่าในฉลากระบุว่า ไม่ควรทานเกิน 5 เม็ดใน 24 ชั่วโมง เธอสองคนพบเขาเสียชีวิตในอพาร์ทเม้นต์ที่พักของเขา

เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพพบ คาเฟอีนปริมาณ 155 mg ต่อเลือด 1 ลิตร ซึ่งมากกว่าสิบเท่าของปริมาณที่ร่างกายจะรับได้ หรือเท่ากับทานน้ำดื่มชูกำลังยี่ห้อไทยหลายสิบขวด

ข่าวนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ทุกฝ่ายต้องเร่งแก้เรื่อง ฉลากของสินค้าที่ดูเหมือนลูกอมมิ้นท์ทั่วไป โดยที่ผู้บริโภคไม่ทันอ่านฉลาก เพราะเห็นว่าลดราคา จึงซื้อปริมาณมากไว้ทานเหมือนลูกอมทั่วไป
อ่านรายละเอียดข่าวได้ที่นี่http://www.mirror.co.uk/news/uk-news/john-jackson-family-dad-who-2363193



Thursday, October 10, 2013

แนวทางการลดไข้ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ

ตอนที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ห้องยาโครงการ 30 บาท จะเห็นเจ้าหน้าที่มาเบิกผ้าเช็ดตัวไปเช็ดตัวผู้ป่วยเด็กเล็กที่มีไข้ทุกราย แต่ตอนนี้มีบทความบอกว่า การเช็ดตัวเด็กไม่ได้ช่วยการลดไข้ได้ดีเท่าไหร่

นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล พบ. วุฒิบัตรกุมารเวชศาสตร์
อนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
ภายใต้กรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ

          National Institute for Health and Clinical Excellence (NICE) เป็นหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งทำหน้าที่สนับสนุนการจัดทำแนวทางเวชปฏิบัติ (clinical guideline) ภายใต้ความร่วมมือขององค์กรวิชาชีพทางสาธารณสุขต่างๆ ของสหราชอาณาจักร เพื่อใช้เป็นมาตรฐานการปฏิบัติงานของสถานพยาบาลในระบบสาธารณสุขแห่งชาติ (national health service) ของสหราชอาณาจักร

          แนวทางเวชปฏิบัติที่จัดทำขึ้นโดย NICE จัดทำขึ้นด้วยมาตรฐานทางวิชาการอันเป็นที่ยอมรับ คำแนะนำจาก NICE จึงเป็นคำแนะนำที่มีคุณค่าและควรให้ความสนใจ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับเวชปฏิบัติในบริบทของสังคมไทย

          ในเดือนพฤษภาคม 2550 NICE ได้ออกแนวทางเวชปฏิบัติในการประเมินและการดูแลเบื้องต้นสำหรับภาวะการมีไข้ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ซึ่งมีใจความดังนี้

1. ไม่แนะนำให้เช็ดตัวเด็กเพื่อลดไข้ (tepid sponge) เหตุผลที่ NICE ใช้ประกอบคำแนะนำคือ การมีไข้เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสารเช่น prostaglandin ในสมองส่วน hypothalamus ซึ่งส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของ temperature set-point ในสมอง

ดังนั้นการให้ยา paracetamol หรือ ibuprofen ซึ่งออกฤทธิ์ขัดขวางการสร้าง prostaglandin จึงมีฤทธิ์เป็นยาลดไข้

แต่การเช็ดตัวช่วยให้เกิดความเย็นในส่วนของร่างกายที่สัมผัสกับน้ำแต่ไม่มีผลต่อการการลดระดับลงของ prostaglandin ดังนั้นอุณหภูมิของร่างกายโดยรวมจึงไม่ลดลง นอกจากนี้ในขณะที่สมองส่วน hypothalamus ยังคงตั้งระดับอุณหภูมิร่างกายไว้ที่ระดับสูง การเช็ดตัวอาจทำให้เกิดอาการสั่นสะท้าน (shivering) หรือหนาวสะท้าน (rigor) ซึ่งเป็นกลไกของร่างกายที่พยายามปรับอุณหภูมิร่างกายไปยังระดับอุณหภูมิที่สมองได้ตั้งไว้ ซึ่งจัดเป็นอาการไม่พึงประสงค์ประการหนึ่งจากการเช็ดตัวนอกเหนือจากการร้องไห้ของเด็กที่ถูกเช็ดตัว

จากงานวิจัยที่เปรียบเทียบการเช็ดตัวกับการให้ยาลดไข้ไม่พบว่าการเช็ดตัวให้ประโยชน์เหนือกว่าการให้ยาลดไข้เพียงอย่างเดียว สำหรับการศึกษาที่พิจารณาการเช็ดตัวร่วมกับการให้ยาลดไข้ พบว่าการเช็ดตัวไม่ได้ให้ผลเพิ่มขึ้นในการลดไข้ หรือพบว่ามีผลช่วยลดไข้ได้เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ แต่อาจเพิ่มความไม่สบายตัวให้กับเด็ก นอกจากนี้การเช็ดตัวยังเป็นการสิ้นเปลืองเวลาโดยมีผลน้อยมากต่อการลดไข้ในระยะปานกลางและระยะยาว ซึ่งหากใช้น้ำที่เย็นเกินไป หรือเช็ดตัวในห้องปรับอากาศที่มีความเย็นจัดหรือมีการเป่าพัดลม และทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงอย่างรวดเร็วเกินไป อาจทำให้หลอดเลือดหดตัว (vasoconstriction) ส่งผลให้มีไข้สูงขึ้นและเพิ่ม metabolism ของร่างกาย คำแนะนำข้อนี้ครอบคลุมทั้งการปฏิบัติต่อผู้ป่วยที่สถานพยาบาล ตลอดจนการดูแลเบื้องต้นของผู้ปกครองของเด็กที่บ้านด้วย

2. ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่บางเกินไป (ในภาวะที่มีอากาศหนาวเย็น) หรือห่อหุ้มตัวเด็กจนมิดชิดขณะมีไข้

3. ควรให้ยาลดไข้แก่เด็กที่เป็นไข้เฉพาะเมื่อเด็กมีอาการไม่สบายตัวจากไข้ ไม่ควรให้ยาลดไข้แก่เด็กที่เป็นไข้ทุกคนเพียงเพราะเด็กมีไข้ หากเด็กยังดูเป็นปกติ (เช่นเล่นได้ ยิ้มได้ ไม่ได้นอนซม) ไม่จำเป็นต้องให้ยาลดไข้ อย่างไรก็ตามควรพิจารณาความเห็นและความปรารถนาของผู้ปกครองประกอบด้วย โดยอาจเลือกใช้ paracetamol หรือ ibuprofen เป็นยาลดไข้
หมายเหตุ ยาทั้งสองข้างต้นเป็นยาบัญชี ก. ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ ไม่ควรใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ เช่น nimesulide เพื่อการลดไข้ในเด็ก (และผู้ใหญ่) เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบซึ่งไม่คุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้รับ และอุณหภูมิที่จัดว่ามีไข้คือ 100° F หรือ 37.8° C จึงไม่ควรให้ยาลดไข้เพียงเพราะเด็กมีตัวอุ่นๆ เช่นวัดอุณหภูมิได้ 37.5° C

4. ไม่ควรให้ paracetamol และ ibuprofen พร้อมๆ กันเพื่อการลดไข้ในเด็ก หากจำเป็นอาจให้สลับเวลากันได้ในกรณีที่ใช้ยาขนานแรกแล้วไข้ยังไม่ลดลง ทั้งนี้ไม่ควรใช้ยาลดไข้สองขนานร่วมกันเป็นอาจิณ

5. ยาลดไข้ไม่ช่วยป้องกันการชักจากไข้ (febrile convulsion) ในเด็ก จึงไม่ควรใช้ยาลดไข้ด้วยความมุ่งหวังเพื่อป้องกันการชัก คำแนะนำนี้สรุปมาจากงานวิจัยหลายชิ้นซึ่งไม่สามารถแสดงให้เห็นว่ายาลดไข้มีประสิทธิผลในการป้องกันการชักจากไข้

          ข้อความข้างต้นเป็นใจความจาก NICE guideline (ยกเว้นข้อความใน หมายเหตุ) ในความเห็นของผู้เขียน การเช็ดตัวเป็นสิ่งที่ถือปฏิบัติกันตลอดมาในประเทศไทย ทั้งบุคลากรสาธารณสุขและผู้ปกครองต่างมีความเชื่อว่าการเช็ดตัวช่วยลดไข้ได้ และทำให้เด็กสบายตัวขึ้น หากแต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่สนับสนุนการกระทำดังกล่าว อย่างไรก็ตามไม่ถือว่าการเช็ดตัวเป็นข้อห้ามกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการเช็ดตัวนั้นกระทำอย่างนุ่มนวล ถูกวิธี โดยไม่ทำให้เด็กกลัวหรือตกใจ และผู้ปฏิบัติไม่ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการเสียเวลา และยินดีที่จะทำแม้ทราบว่าการกระทำดังกล่าวมีผลน้อยต่อการลดอุณหภูมิของเด็ก เช่นพ่อแม่ที่ต้องการเฝ้าดูลูกทั้งคืนและเช็ดตัวให้เป็นระยะๆ รวมทั้งการเช็ดตัว (อย่างนุ่มนวล) ที่ห้องฉุกเฉินแก่เด็กที่มีไข้แล้วชัก จนกว่าฤทธิ์ของยาลดไข้และยารักษาโรคจะบังเกิดขึ้น  ทั้งนี้ผู้ปฏิบัติควรรู้ข้อดีและข้อเสีย และพยายามหลีกเลี่ยงข้อเสียต่างๆ ของการกระทำดังกล่าว

          บุคลากรสาธารณสุขไม่ควรถือว่าการลดไข้เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในการดูแลผู้ป่วย และพยายามลดไข้ด้วยวิถีทางต่างๆ ที่ไม่สมเหตุผล เช่นการฉีดยาลดไข้แก่เด็ก การให้ steroid เพื่อช่วยลดไข้ การใช้ยาปฏิชีวนะกับโรคที่ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นการใช้ยาปฏิชีวนะ (ทั้งชนิดกินและชนิดฉีด) เสมือนหนึ่งเป็นยาลดไข้

          ข้อควรปฏิบัติสำหรับบุคลากรสาธารณสุขคือการหาสาเหตุของไข้ด้วยความตั้งใจ โดยซักประวัติจากผู้ปกครองโดยละเอียด การตรวจร่างกายโดยละเอียด และการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น การรักษาที่ต้นเหตุของไข้เท่านั้นที่เป็นแนวทางเวชปฏิบัติที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงแก่ผู้ป่วย

เอกสารอ้างอิง
National Institute for Health and Clinical Excellence Clinical Guideline. Feverish illness in children, assessment and initial management in children younger than 5 years. May 2007.

เอกสารนี้เป็นต้นฉบับเพื่อการตีพิมพ์ในวารสาร “สานฝัน” ฉบับที่ 23 ประจำเดือน มีนาคม-เมษายน 2555 จัดทำโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 8 อุดรธานีhttp://udonthani.nhso.go.th
สรุป เวลาเด็กมีไข้ เมื่อหาสาเหตุของไข้ได้แล้ว เริ่มจะให้ยาลดไข้ ควรใช้ยาลดไข้ชนิดรับประทานอย่างเดียว ส่วนยาฉีดไม่ควรใช้เพราะออกฤทธิ์สั้น และจะกลับมีไข้สูงใหม่ได้ รวมทั้งมีข้อเสียมากกว่ายากิน
ยาที่ใช้ลดไข้เด็ก มี 2 ตัว คือ 1. paracetamal ( = acetaminophen) ขนาดยาที่ใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ขวบ คือ 10-15 mg /Kg/ครั้ง ทุก 4-6 ชั่วโมง กรณีคนที่เป็น G6PD ควรใช้ขนาดยาต่ำ ๆ 
                                              2. Ibuprofen ขนาดยาในเด็กต่ำกว่า 12 ปี คือ 5mg /Kg/ครั้ง ทก 8 ชั่วโมง ใช้ในกรณีไข้สูงมาก ๆ ไม่ให้ใช้พร้อมกับparacetamol แต่ให้ใช้สลับกันได้ และยานี้ต้องระวังในคนไข้ที่เป็นไข้เลือดออก 

รายละเอียดเพิ่มเติม ขนาดยา Paracetamol จาก Clinical Pharmacology Drug Information
Oral (regular-release formulations):

Adults, Adolescents, and Children มากกว่า12 years: 325—650 mg PO or PR every 4—6 hours, as needed. Alternatively, 1000 mg PO or PR, 2—4 times per day can be given. It is important to note that doses effective for acute pain relief (1—2 tablets/day) may not be effective in chronic pain states, which require higher daily doses. Do not exceed 1 g/dose or 4 g/day.

Infants and Children น้อยกว่า 12 years: 10—15 mg/kg PO or PR every 4—6 hours. Do not exceed 5 doses in 24 hours.

Neonates(น้อยกว่า 1 ขวบ): 10—15 mg/kg PO or PR every 6—8 hours as needed.

๐ ขนาดยา Paracetamol ในเด็ก จาก AHFS
มากกว่า 12 ขวบ : 40-60 mg/kg/day PO divided q6hr PRN; not to exceed 3.75 g/day (5 doses/24 hours)

ส่วนยาเหน็บลดไข้ คือ Poro rectal suppo มีตัวยา คือ paracetamol เป็นยาลดไข้ชนิดยาเม็ดเหน็บทวารหนัก ไม่ได้ลดไข้ดีไปกว่ายากิน ใช้กับผู้ที่ทานยาไม่ได้ และมีขนาดยาแน่นอน ปรับขนาดยาไม่ได้

ข้อมูลของยาเหน็บจากThe electronic Medicines Compendium (eMC) contains information about UK licensed medicines.
Paracetamol is well absorbed by both oral and rectal routes. Peak plasma co
ncentrations occur about 2 to 3 hours after rectal administration. The plasma half life is about 2 hours. (Onset of action: Oral: ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง)
Each suppository contains Paracetamol 60, 125 or 250 mg. 
Paracetamol suppositories may be especially useful in patients unable to take oral forms of paracetamol, e.g. post-operatively or with nausea and vomiting.