Monday, September 13, 2010

วัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก

มีข้อสงสัยว่า วัคซีนHPV สามารถป้องกันมะเร็งมดลูกได้จริงหรือ แต่ผู้เขียนคิดว่าราคาวัคซีนแพง และบริษัทยังไม่รับรองร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าได้ผลดีสามารถป้องกันมะเร็งได้ เพราะขึ้นกับปัจจัยหลาย ๆ อย่างอีก
ลองค้นดูข้อมูลวัคซีนในเน๊ต มีรายละเอียดตามนี้

วัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก

(เรียบเรียงโดย พล.ต.รศ.นพ.ธีรศักดิ์ ธำรงธีระกุล และทีมแพทย์ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช)

เป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันว่า สาเหตุมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชื่อ Human Papilloma Virus (HPV) หรือคนไทยจะรู้จักกันว่าไวรัสหูดหงอนไก่ ไวรัสกลุ่มนี้มีมากเป็นร้อยสายพันธุ์ บางสายพันธุ์ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ (หรือผิวหนังส่วนอื่นก็ได้) 90% ของโรคหงอนไก่ที่พบ เกิดจาก HPV สายพันธุ์เลขที่ 6 และ 11 สายพันธุ์ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกมีประมาณ 15 สายพันธุ์ และ 70% ของคนที่เป็นมะเร็งปากมดลูกเกิดจากสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 (ที่เหลือคือสายพันธุ์ที่ 45, 31, 33, 52, 58 ตามลำดับ)

ปัจจุบันมีวัคซีนที่นำมาฉีดอยู่ 2 บริษัท คือ ชนิดที่มี 2 สายพันธุ์ (16, 18) และชนิดที่มี 4 สายพันธุ์ (6, 11, 16, 18) หมายความว่า ชนิดที่มี 2 สายพันธุ์ จะป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ 70% และชนิดที่มี 4 สายพันธุ์ นอกจากจะป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ 70% แล้ว ยังจะช่วยป้องกันหูดหงอนไก่ได้ด้วย 90% มีรายละเอียดพอสังเขปที่ควรทราบ ดังนี้

1. วัคซีนนี้จะป้องกันได้กับ HPV type 6, 11, 16 และ 18 คือ HPV ชนิดที่ทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้ 70% และชนิดที่ทำให้เป็นหูดหงอนไก่ได้ 90% (และอาจมีภูมิต้านทานกับสายพันธุ์ก่อมะเร็งอื่น ๆ ได้บ้าง คือสายพันธุ์ที่ 31, 33, 45, 52 และ 58 ซึ่งรวมแล้วอาจป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 80% เป็นอย่างน้อย)

2. วัคซีนนี้ไม่ป้องกันโรคในคนที่เคยเป็นโรคแล้ว และยังมีเชื้อเกาะอยู่แบบเรื้อรัง

3. ควรฉีดวัคซีนตั้งแต่ก่อนเป็นสาวก่อนมีเพศสัมพันธ์ (ก่อนมีโอกาสได้สัมผัสเชื้อไวรัส) คือตั้งแต่อายุ 9-12 ปี เพื่อให้ได้ผลสูงสุดเพราะคนที่เคยติดเชื้อ HPV type ใดแล้ว มันจะอยู่ติดตัวไม่หาย วัคซีนก็ไม่มีผลป้องกันโรค

4. คนที่เคยเป็นโรค HPV แล้วก็ฉีดได้ เพราะวัคซีนจะป้องกัน HPV type ที่ยังไม่เคยเป็น หรือเคยเป็นแต่หายแล้ว ตามทฤษฎี ฉีดตอนอายุกลางคน คือ ถึงประมาณ 45 ปี ก็ยังมีประโยชน์ แม้จะไม่เต็มที่ประสิทธิภาพของวัคซีนก็ตาม (เพราะอาจเคยติดโรค และมีโรคเรื้อรังของบางสายพันธุ์เกาะอยู่)

5. ปัจจุบันยังไม่พบว่าเป็นอันตรายกับเด็กในครรภ์ แต่ก็ยังไม่แนะนำให้ฉีดในคนตั้งครรภ์ มารดาที่กำลังให้นมบุตรก็ฉีดได้

6. เนื่องจาก วัคซีน นี้ครอบคลุมได้ 70% (อาจถึง 80%) ของไวรัสชนิดทำให้เกิดมะเร็งในสตรี ดังนั้นถึงแม้ว่าฉีดวัคซีนแล้วก็ยังแนะนำให้ทำ pap smear ตรวจหามะเร็งปากมดลูกเหมือนเดิม คือ เริ่มตรวจ pap ภายใน 3 ปี นับตั้งแต่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ (หรือตั้งแต่อายุ 21 ปี) ตรวจทุกปี จนถึงอายุ 30 ปี หลังจากนั้นก็ตรวจทุก 2-3 ปี ยกเว้นว่าถ้าตรวจ 3 ปีติดกัน แล้วปกติ ก็เลื่อนตรวจเป็น 2-3 ปี ต่อครั้งก็ได้

7. การฉีดวัคซีนให้ฉีด 3 เข็ม ภายใน 6 เดือน คือครั้งแรก แล้วเข็มที่ 2 อีก 1-2 เดือน เข็มที่ 3 ที่เดือนที่ 6 จะมีภูมิต้านทานอย่างน้อย นาน 5 ปี

8. ไม่แนะนำให้ตรวจหา HPV ก่อนฉีด วัคซีน เพราะการตรวจ HPV DNA ได้ผลบวกเฉพาะเชื้อที่กำลังเป็นโรคอยู่ ไม่ได้ผลบวกต่อชนิดที่เคยเป็นทั้ง ๆ ที่เชื้อยังแฝงอยู่

9. คนที่มีเซลล์ปากมดลูกผิดปกติอยู่ก็ฉีดวัคซีนได้ ใช้ป้องกันเชื้อที่ยังไม่เคยติดได้ แต่ไม่ได้ป้องกันหรือแก้ไขเซลล์ที่ผิดปกติอยู่แล้ว แนะนำให้รักษาเซลล์ที่ผิดปกติให้หายก่อนแล้วจึงฉีดวัคซีน ข้อนี้ควรปรึกษารายละเอียดกับแพทย์

เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์โดยทั่วไปไม่รุนแรง อาการที่พบมากที่สุดคือ อาการตรงบริเวณที่ฉีดยา ได้แก่ ปวด บวม แดง ซึ่งหายไปได้เอง อาการข้างเคียงทางระบบที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาการอื่น ๆ ที่พบได้บ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ คัน และมีไข้ ซึ่งพบประมาณร้อยละ 15 เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ชนิดรุนแรง พบได้ไม่แตกต่างกันทั้งกลุ่มที่เป็นวัคซีน และกลุ่มควบคุม ได้แก่ หายใจลำบาก, กระเพาะอาหารอักเสบ, ปวดศีรษะ, ความดันโลหิตสูง, เจ็บตรงตำแหน่งที่ฉีดยา และอาการปวดของแขนข้างที่ฉีดยา การเกิดโรคเรื้อรังใหม่ ไม่แตกต่างกันทั้งกลุ่มวัคซีน (ร้อยละ 3) และกลุ่มควบคุม (ร้อยละ 5)

โดยสรุป การฉีด HPV Vaccine มีความปลอดภัยสูงในการป้องกันการติดเชื้อ HPV

Friday, September 3, 2010

วิธีแก้เมารถอย่างถูกวิธี กับยาดรามามีนและscopolamine

วันนี้อ่านเจอในเน๊ต เห็นว่าได้ประโยชน์ดี เลยขอนำมาคัดลอกลงในบล๊อคไว้

ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ใครที่เคย "เมารถ" หรือแม้แต่เมาเรือ คงจะรู้ดีว่ามันทรมานแบบกระอักกระอ่วนเพียงใด เพราะมักจะเกิดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เริ่มรู้สึกพะอืดพะอมไม่สบาย ไปจนถึงเหงื่อออกตัวเย็น เวียนหัว คลื่นไส้ แล้วก็อาเจียนออกมา

วันนี้ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว หัวหน้าศูนย์สุขภาพ รพ.พญาไท 2 ได้เปิดเผยเทคนิคการป้องกันและแก้ไขการเมารถว่า อาการเมารถ เกิดจากขณะเคลื่อนไหว สมองเกิดความสับสนแบบประสาทหลอน (halluclnation) เนื่องจากข้อมูลที่รายงานเข้ามาจากหูและตา ไม่สอดคล้องกับข้อมูลจากอวัยวะคุมการทรงตัวของร่างกาย (balancing organ) ที่อยู่ในหูชั้นใน ถ้าหยุดการเคลื่อนไหว อาการเมาก็จะค่อย ๆ หายไป คนที่เดินทางบ่อย ๆ มักจะปรับตัวเองให้คุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น และเมาน้อยลง เทคนิคอื่น ๆ ที่จะช่วยบรรเทาการเมารถ ได้แก่

นั่งแถวหน้า ๆ หันหน้าไปทางหน้ารถ เพราะการนั่งหน้ารถและมองไปข้างหน้า จะทำให้ทั้งตาและหูของเรารับรู้การเคลื่อนไหวของรถไปพร้อม ๆ กับอวัยวะควบคุมการทรงตัวที่อยู่ในหูชั้นใน จึงมีโอกาสเมาน้อยกว่า

จินตนาการว่าตัวเองเป็นคนขับรถเสียเอง เพราะคนขับจะไม่เมารถ เวลารถจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาก็คาดการณ์ล่วงหน้า และรู้ตัวขณะที่ร่างกายต้องหมุนเลี้ยวตามรถ สมองก็จะเกาะติดสถานการณ์ได้ชัดเจนขึ้นไม่สับสน

มองไปไกล ๆ จับเส้นขอบฟ้าไว้เป็นครั้งคราว เพื่อให้สมองมั่นใจว่าอะไรอยู่บน อะไรอยู่ล่าง อะไรอยู่ซ้าย อยู่ขวา ขณะที่รถหรือพาหนะเคลื่อนไหววกวนไปมาต้องหามองอะไรที่ไกล ๆ และนิ่ง ๆ และรู้ตัวว่าตัวเรากำลังเคลื่อนไหวไปขณะที่รถหรือพาหนะเคลื่อนไหววกวนไปมา ต้องหามองอะไรที่ไกล ๆ และนิ่ง ๆ และรู้ตัวว่าตัวเรากำลังเคลื่อนไหวไปขณะที่จุดนั้นนิ่ง เพื่อให้สมองทราบสถานะและตำแหน่งของตัวเองได้ถูกต้อง

อย่าอ่านหนังสือหรือตั้งใจมองอะไรที่เป็นของเล็ก ๆ และเขย่า ๆ หรือเคลื่อนไหวบนรถ เพราะการเคลื่อนไหวของตัวเรากับวัสดุในรถจะไม่ไปด้วยกัน ทำให้สมองสับสนถึงตำแหน่งที่แท้จริงของตัวเอง

ตั้งศีรษะให้ตรง ให้ศีรษะอยู่นิ่ง ๆ เวลารถเลี้ยวก็ตั้งใจรู้ตัวว่ากำลังหันไปตามการเลี้ยวของรถ อย่าให้ศีรษะไปพิงกับส่วนของรถที่เขย่า ๆ ไปตามแรงกระแทกและการเคลื่อนไหวบนรถ ถ้าจะพิงพนักก็ให้ใช้หลังพิงโดยให้ศีรษะตั้งตรงขึ้น อย่าฟุบหน้าลงหรือเอนศีรษะไปพิงอะไรข้าง ๆ จะทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพถูกจับแกว่งไกว ขณะที่รถเลี้ยวไปมา

อย่าสูบบุหรี่ หรือนั่งใกล้คนสูบบุหรี่ เพราะแค่ควันบุหรี่อย่างเดียว โดยไม่ต้องมีการเคลื่อนไหวใด ๆ ก็เมาได้แล้ว

เวลาเดินทางอย่าเห็นแก่กิน อย่ารับประทานอาหารให้อิ่มจนเต็มท้อง เพราะถ้ามีของเต็มกระเพาะ ก็มีแนวโน้มจะออกมาง่าย

ไม่รับประทานของที่มันหรือเลี่ยน เพราะย่อยยาก ค้างอยู่ในกระเพาะนาน อาเจียนง่าย

ไม่รับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง อันจะกระตุ้นให้ตัวเองหรือคนข้าง ๆ คลื่นไส้อาเจียน

ไม่รับประทานอาหารรสจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เผ็ดจัดเพราะเวลาอาเจียน ยิ่งถ้าผ่านรูจมูกออกมาด้วยแล้วจะแสบแบบไม่รู้ลืม

ก่อนเดินทางควรขับถ่ายให้เรียบร้อย อย่าให้ปวดถ่ายจนต้องกลั้นอุจจาระขณะเดินทาง เพราะการกลั้นอุจจาระจะทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ ที่ปกติจะไล่กันเป็นลูกระนาด จากบนลงล่างถูกติดเบรกเสียกระบวนไป

งดดื่มแอลกอฮอล์ เพราะลำพังแอลกอฮอล์ไม่ต้องขึ้นรถก็เมาอยู่แล้ว

ก่อนออกเดินทางครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงให้รับประทานยาแก้เมา เช่น ยาแอนตี้ฮิสตามีน ชื่อ ดรามามีน (Dramaine หรือ dimenhydrinate) หนึ่งเม็ด และพกยานี้ติดตัวไปด้วย ให้คาดหมายไว้เลยว่ายานี้อาจทำให้มีอาการง่วงได้ถ้าจะเดินทางไกล ยาอีกตัวที่ช่วยได้ คือ แผ่นพลาสเตอร์แปะแก้เมา ชื่อ ทรานสเดิร์ม สค็อป (Transderm Scop หรือ scopalamine)โดยแปะไว้ที่หลังหูล่วงหน้าก่อนเดินทาง 2-3 ชั่วโมงขึ้นไป ยานี้จะมีฤทธิ์ป้องกันได้นาน 72 ชั่วโมง

คุณหมอยังแนะนำว่า ถ้าท้องไส้ปั่นป่วนมากสำหรับบางคน การได้ดื่มน้ำอัดลมในปริมาณพอเหมาะจะช่วยได้ เมื่อเริ่มวิงเวียน การสูดหายใจลึก ๆ รับลมเย็นๆ จากหน้าต่างรถ หรือใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้าผากและหน้าช่วยลดอาการได้ ถ้าเริ่มมีอาการวิงเวียน ใช้ยาดม ยาหอม และกลิ่นพืชสมุนไพรตามที่แต่ละคนชอบ จะช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนได้ รวมไปถึงการดมกลิ่นเปลือกส้มเขียวหวาน (บีบให้มันพ่นกลิ่นออกมา) และกลิ่นเปลือกพริกขี้หนู (เอาพริกขี้หนูหลาย ๆ เม็ดใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ)

หากทำท่าจะแพ้ หมดแรงสู้ ให้นอนลงแล้วหลับตาเพื่อปิดการส่งสัญญาณภาพเข้าสมอง เป็นการลดความสับสนให้สมองได้รับสัญญาณจากอวัยวะคุมการทรงตัว ที่อยู่ที่หูชั้นในเพียงอย่างเดียว อาการจะดีขึ้น ถ้าม่อยหลับไปจริง ๆ เลยได้ยิ่งดี เพราะขณะนอนหลับสมองส่วนคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย จะปิดรับสัญญาณเข้าใด ๆ ความสับสนที่สัญญาณขัดแย้งกันไม่มี อาการเมารถจึงหายไปเอง