Monday, April 21, 2014

เตรียมตัวไปพบแพทย์

เดี๋ยวนี้เวลาไปหาหมอ ต้องรอนานมากกว่าจะได้ตรวจ ช่วงที่ตรวจก็ใช้เวลาน้อยมาก ยังไม่ทันได้ถามอะไร ก็ต้องออกมารับยาแล้ว ดังนั้น เวลาไปหาหมอ ควรเตรียมตัวให้พร้อม ดังต่อไปนี้


เวลาจะไปพบแพทย์ ควรเตรียมตัวอย่างไร?
เวลาที่ได้พบแพทย์ : นาทีทองของผู้ป่วย
การไปพบแพทย์แต่ละครั้งถือเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญกับทุกคน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ในชนบท ห่างไกลสถานพยาบาล ซึ่งมักจะต้องจัดหารถเพื่อเดินทาง ชักชวนไหว้วานเครือญาติมาเป็นเพื่อน ต้องเตรียมอาหารการกินระหว่างการเดินทางและการรักษา จนพร้อมสรรพแล้วจึงออกเดินทางเข้ามาพบแพทย์ หรือแม้แต่คนในเมืองก็ตามเวลาไปพบแพทย์ก็จะต้องเตรียมตัว วางแผน และลางาน ซึ่งล้วนเกิดความสูญเสียทั้งเรื่องเวลาของการประกอบอาชีพ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่ารักษาพยาบาล

เนื่องจากมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก ช่วงเวลาที่ผู้ป่วยจะได้พบแพทย์จึงเป็นช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ ซึ่งรวมถึงการเข้ารับการตรวจ การวินิจฉัย และให้การรักษาของแพทย์ จึงประมาณได้ว่า ผู้ป่วยแต่ละคนจะมีเวลาพบแพทย์เพียง 5 ถึง 10 นาทีเท่านั้น

ดังนั้น ช่วงเวลาดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนเป็น "นาทีทองของผู้ป่วย" ที่จะต้องมีการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ดี ถูกโรค ถูกยา หายป่วย หายไข้ ปลอดภัย และประหยัด

การเตรียมตัวไปพบแพทย์เตรียมตัวและปฏิบัติอย่างไร? เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างดีที่สุด ซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของงานเภสัชกรรมชุมชน หรือเภสัชกรที่ร้านยา เมื่อซักถาม พูดคุยกับผู้ป่วยแล้ว มีความเห็นว่าควรไปพบแพทย์ เภสัชกรก็จะให้คำแนะนำการไปพบแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพให้กับผู้ป่วยด้วย

การเตรียมตัวไปพบแพทย์ขอแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ ดังนี้
1. การเตรียมตัวก่อนไปพบแพทย์
2. ขณะไปพบแพทย์
3. การปฏิบัติตนเองหลังไปพบแพทย์

การเตรียมตัวก่อนไปพบแพทย์
ขั้นตอนแรกนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เริ่มจากการสังเกตสิ่งผิดปกติของตัวเรา ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ตัวเราเท่าตัวเราเอง ควรจดบันทึกสิ่งผิดปกติ และควรเลือกไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ และถ้ามีโอกาสก็ควรจำรายละเอียดให้แม่นยำ และถ้ามีรายละเอียดเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะจดบันทึกวันเวลา ระยะเวลาที่มีอาการเจ็บป่วย ความรุนแรง การลุกลาม ตำแหน่งที่เป็น อวัยวะที่รู้สึก เป็นต้น เพราะจะได้ดำเนินการดังนี้

1. สังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น
เมื่อเริ่มมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา ควรสังเกต เฝ้าระวัง และติดตามอย่างสนใจ จดจ่อ และต่อเนื่อง ว่าสิ่งผิดปกตินี้มีอาการและระดับความรุนแรงอย่างไร เคยเป็นอย่างนี้มาหรือยัง รวมถึงระยะเวลา ที่มีอาการเจ็บป่วย ความรุนแรง การลุกลาม ตำแหน่งที่เป็นอวัยวะที่รู้สึก และอื่นๆ

ถ้ามีโอกาสก็ควรจำรายละเอียดต่างๆ ให้แม่นยำ แต่ถ้ามีรายละเอียดเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะจดบันทึกข้อมูลให้ครบถ้วน เมื่อไปพบแพทย์จะได้ให้ข้อมูลได้ถูกต้อง แม่นยำ และครบถ้วน ซึ่งจะส่งผลดีกับตัวเราเอง

2. ไม่มีใครรู้จักสุขภาพร่างกายของคุณได้ดีเท่ากับตัวคุณเอง
ไม่ว่าสิ่งผิดปกติจะเป็นด้านจิตใจ ร่างกาย หรือความนึกคิดของคุณ คนที่จะรู้ดีที่สุด ก็คือตัวของคุณเอง คนที่เป็นเจ้าของร่างกายอันนี้ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งดี สิ่งร้าย โรคภัยไข้เจ็บอะไรขึ้น

ดังนั้น คุณจึงควรสังเกตสิ่งเหล่านี้ให้ครบถ้วน ว่าเป็นอย่างไร เป็นที่ไหน เป็นมากนานเพียงใด

3. จดบันทึกข้อมูลสุขภาพ
รายละเอียดของสิ่งผิดปกติเหล่านี้จะมีคุณค่ามากขึ้น และช่วยให้ได้ข้อมูลความเจ็บป่วยที่ครบถ้วน จึงควรจดบันทึกความเจ็บป่วยไข้ ว่ามีอาการอย่างไรบ้าง เป็นที่ไหนบ้าง เป็นมานานแค่ไหน จดบันทึกไว้ หรือบางคนอาจจัดทำไว้เป็นสมุดบันทึกสุขภาพก็ยิ่งดี และจะมีคุณค่ามากเมื่อไปพบแพทย์ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป

4. รู้แต่เนิ่นๆ ยังเป็นน้อยรักษาได้ง่าย
การสังเกตและไม่นิ่งนอนใจในสิ่งผิดปกติต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้ารู้ตัวแต่เนิ่นๆ ในขณะที่ยังมีอาการน้อย และความรุนแรงของโรคไม่มาก โดยทั่วไปก็จะทำการรักษาให้หายได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่เสียเวลา และไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย

ในทางตรงกันข้ามถ้าปล่อยให้เป็นมากๆ แล้วจึงไปพบแพทย์ ขณะที่มีอาการมากและโรคลุกลาม การรักษาก็จะยุ่งยาก วุ่นวาย เสียเวลา และค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก หลายคนต้องขายที่ขายทาง ขายไร่ขายนา เพื่อนำเงินมาใช้รักษา จนเกิดคำว่า "ล้มละลายจากการรักษาพยาบาล"Ž

5. เตรียมข้อคำถามที่อยากรู้นอกจากนี้ อาจซักซ้อมเตรียมคำถามที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยที่ต้องการทราบคำตอบจากแพทย์ เช่น โรคที่เป็น ระดับความรุนแรงของโรค เป้าหมายของการรักษา ยาและการใช้ยา เป็นต้น เพราะจะได้ถามแพทย์ในช่วงนาทีทองของคุณ

ขณะไปพบแพทย์
ขั้นตอนแรกเหมือนการวางแผนเพื่อรวบรวมข้อมูลสิ่งผิดปกติและเตรียมตัวไปพบแพทย์ และเมื่อถึงขั้นตอนที่ 2 ที่ผู้ป่วยจะไปพบแพทย์จริงๆ ก็ควรจะไปแต่เช้า หรือตรงเวลานัดของแพทย์ ถ้าจะให้ดีก็ควรหาเพื่อนไปด้วย ให้ข้อมูลที่สำคัญให้ครบถ้วน ตั้งใจฟังการวินิจฉัย ความเห็น และคำแนะนำของแพทย์ และรู้จักเป้าหมายการรักษาอย่างชัดเจน ดังนี้

1. ไปแต่เช้า หรือตรงเวลานัดของแพทย์
เวลาจะไปพบแพทย์ควรไปแต่เช้าๆ หรือกรณีที่แพทย์ได้นัดให้ไปพบ ก็ควรไปให้ตรงเวลาหรือไปก่อนสักระยะหนึ่งก็จะดี ควรพกข้อมูลบันทึกปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นไปด้วย เพื่อจะได้ช่วยจำ ป้อนข้อมูลให้กับแพทย์อย่างครบถ้วนสมบูรณ์

"ผู้ป่วยหลายคนขายทรัพย์สินเพื่อนำเงิน มารักษา จนเกิดคำว่า "ล้มละลายจากการรักษาพยาบาล""ŽŽ

2. หาเพื่อนไปด้วย จะได้ช่วยเหลือกัน

ถ้าเป็นไปได้ควรหาคู่สมรส ญาติสนิท หรือมิตรสหายไปเป็นเพื่อนเวลาไปพบแพทย์ด้วย เพื่อจะได้ช่วยกันเล่าอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น และรับฟัง ช่วยกันจำคำแนะนำและวิธีการปฏิบัติดูแลตัวเองในการรักษาของแพทย์

มีรายงานทางการแพทย์ว่า กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยจะลืมคำแนะนำของแพทย์ เมื่อเดินออกจากห้องตรวจ ทำให้ผู้ป่วยกลับไปดูแลรักษาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ได้ไม่ครบถ้วน ส่งผลให้ได้รับผล การรักษาอย่างไม่เต็มที่ จึงควรชวน"เพื่อนสุขภาพ" ไปพบแพทย์ด้วย

3. ตั้งใจฟังแพทย์ ถ้าสงสัยควรถามได้เลย
ขณะที่อยู่ในห้องตรวจ ต่อหน้าแพทย์ เป็นช่วงนาทีทองที่แท้จริง จึงควรมีสมาธิ ตั้งใจฟังให้ดี ทั้งเรื่องการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร มีระดับความรุนแรงเพียงใด จะมีวิธีการดูแล ปฏิบัติตนเอง การรักษาและใช้ยาอย่างไร ถ้ามีรายละเอียดมาก ก็อาจจดบันทึกไว้

หากมีข้อสงสัย ไม่ต้องเกรงใจแพทย์ ขอความกรุณาแพทย์ให้ความกระจ่างได้เลย โดยเฉพาะคำถามที่อยากจะรู้ เช่น การปฏิบัติตนเอง เป้าหมายของการรักษา รวมถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ค่าใช้จ่าย ค่ารักษา ค่ายา ที่จะต้องจ่ายเอง ถ้าเตรียมตัวมาไม่เพียงพอ หรือเป็นจำนวนเงินมากเกินไป ก็ปรึกษาท่านได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ

4. รู้จักเป้าหมายการรักษาอย่างชัดเจน
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ป่วย คือเป้าหมายของการรักษาโรค ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่ชนิดของโรคนั้นๆ เช่น

โรคความดันโลหิตสูง จะมีเป้าหมายของความดันโลหิตตัวบน (ขณะที่หัวใจบีบตัว) เท่ากับ 130 มิลลิเมตรปรอท และเป้าหมายของความดันโลหิตตัวล่าง (ขณะที่หัวใจคลายตัว) เท่ากับ 80 มิลลิเมตรปรอท

ขณะที่โรคเบาหวานที่มีเป้าหมายของระดับน้ำตาลในเลือดในตอนเช้าหลังอดอาหารมามีค่าเท่ากับ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

เป้าหมายเหล่านี้คือจุดหรือช่วงที่สำคัญของผู้ป่วย เพราะถ้าบรรลุเป้าหมาย จะมีความปลอดภัย สามารถควบคุมอันตรายของโรคให้อยู่ในช่วงที่ปลอดภัย เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ และเป็นที่ปรารถนาทั้งของแพทย์ที่ให้การรักษาและของผู้ป่วยที่ประสบปัญหาสุขภาพนั้นๆ

อีกมุมหนึ่งถ้าผู้ป่วยปฏิบัติตนเองจนสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้ ก็แสดงถึงความสามารถในการดูแลรักษาที่ดีของผู้ป่วยจนบรรลุเป้าหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ

นอกจากนี้เป้าหมายการรักษา ยังช่วยให้ผู้ป่วย ได้รับรู้ ตระหนัก และยอมรับความเจ็บป่วยของตนเอง ซึ่งจะส่งผลเป็นความร่วมมือในการรักษา และมีส่วนสำคัญจ่อการรักษาควบคุมโรค

การปฏิบัติตนเองหลังไปพบแพทย์
ภายหลังจากที่พบแพทย์ผู้ป่วยควรร่วมมือปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์ ทั้งในเรื่องการดูแลตนเอง การใช้ยา และควรสังเกตสิ่งผิดปกติต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นก่อนไปพบแพทย์ว่า โรคที่ทุเลา เบาบาง หรือหายดีเพียงใด ทั้งยังควรสังเกตสิ่งผิดปกติใหม่ (ถ้ามี) เช่น การแพ้ยา ผลข้างเคียงของยา เป็นต้น และติดตามผลการรักษา ไปพบแพทย์ตามนัด

ควรพกพาข้อมูลสุขภาพที่สำคัญ ติดตัวอยู่เสมอ เช่น โรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ประจำ การแพ้ยา เมื่อไปพบแพทย์ จะได้ให้ข้อมูลได้ทันที
จากหมอชาวบ้าน http://www.doctor.or.th/ask/detail/7520



เตรียมตัวไปพบแพทย์

Monday, April 7, 2014

เด็กไทยป่วย ‘โรคไอกรน’ มากขึ้น ควรรับวัคซีนตามนัด

สธ.เผยมีเด็กไทยป่วยและเสียชีวิตด้วย"โรคไอกรน"มากขึ้น เตือนผู้ปกครองนำบุตรเข้ารับวัคซีน เผยสถิติปี 56 พบผู้ป่วย 24 ราย ส่วนใหญ่พบในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 1 ปีสูงสุดสุด...
นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคไอกรน (Pertussis) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดได้กับประชาชนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคทุกคน ทุกวัย โรคนี้ป้องกันได้ด้วยการฉัดวัคซีน ซึ่งขณะนี้ได้พัฒนาเป็นวัคซีนรวม 1 เข็ม ป้องกันโรคได้ 3 โรค คือคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (DTP) เป็นวัคซีนพื้นฐานที่กระทรวงสาธารณสุขจัดบริการฉีดให้เด็กทุกคนในประเทศไทย โดยฉีด 5 ครั้ง เริ่มครั้งที่ 1เมื่ออายุ 2 เดือน และฉีดซ้ำเมื่ออายุ 4 เดือน, 6 เดือน,1 ปี 6 เดือน และอายุ 4 ปีผู้ที่ได้รับวัคซีนครบชุดทุกคน มีโอกาสป่วยจากโรคไอกรนน้อยมาก หรือหากป่วยอาการจะไม่รุนแรง เนื่องจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันบางส่วนที่ได้จากวัคซีนแล้ว
หากเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีป่วยเป็นโรคไอกรน มักจะมีอาการรุนแรง เนื่องจากระดับภูมิต้านทานโรคในร่างกายยังมีน้อย จึงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย ที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตคือโรคปอดอักเสบหรือปอดบวม เช่นในปี 2556 ตลอดปีพบผู้ป่วย 24 ราย ส่วนใหญ่พบในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 1 ปี มากสุดคืออายุ 1-3 เดือนพบร้อยละ 33 โดยพบมีเด็กอายุ 2 เดือนเสียชีวิต 2 ราย รายที่ 1 ที่ จ.ชลบุรี เสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนคือปอดอักเสบ ได้รับการฉีดวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน 1 ครั้ง ทำให้ร่างกายยังไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ รายที่ 2 ที่ จ.บึงกาฬ โรคแทรกซ้อนที่ทำให้เสียชีวิตคือสมองอักเสบ รายนี้ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเนื่องจากป่วยก่อนถึงวันนัดฉีดวัคซีน ซึ่งเด็กทั้ง 2 รายนี้เป็นเด็กเล็กเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย การป้องกันการเสียชีวิตในภาวะนี้ทำได้โดยผู้ปกครองต้องพาไปโรงพยาบาลตั้งแต่เริ่มป่วย เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ทันท่วงที ซึ่งมียาปฏิชีวนะรักษาได้ จะลดโรคแรกซ้อน รักษาชีวิตผู้ป่วยไว้ได้
ดั้งนั้น เพื่อป้องกันการป่วยและลดอันตรายจนถึงชีวิตในเด็กเล็กจากโรคไอกรน ขอให้ผู้ปกครองทุกคนนำบุตรหลานเข้ารับการรับวัคซีนตามนัดที่ปรากฏในสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กให้ครบตามช่วงวัย ควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในที่แออัดหรือในพื้นที่ที่มีโรคระบาด และที่สำคัญคือในกลุ่มประชาชนที่ย้ายที่อยู่บ่อย เช่นรับจ้างก่อสร้าง แรงงานภาคเกษตร อุตสาหกรรม ลูกมีความเสี่ยงได้รับวัคซีนไม่ครบ จึงควรพาลูกหลานไปรับวัคซีนต่อเนื่องในสถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้ รวมทั้งแรงงานต่างด้าวที่นำครอบครัวและบุตรเข้ามาทำงานในประเทศไทย ควรพาบุตรหลานเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบถ้วนในสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง เพื่อให้ปลอดภัยจากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน โดยบุตรแรงงานต่างด้าวที่อายุไม่เกิน 7 ปีบริบูรณ์ สามารถซื้อบัตรประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขได้ในอัตราคนละ 365 บาท เฉลี่ยวันละ 1 บาท มีอายุคุ้มครอง 1 ปี นับจากวันที่ซื้อบัตรประกันสุขภาพ ซึ่งจะได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนเหมือนเด็กไทย  
ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคไอกรน เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจอักเสบ และเกิดอาการไอ อาการที่เป็นลักษณะพิเศษของโรคนี้คือ ไอเป็นชุดๆ คือไอซ้อนๆ ติดๆ กัน 5-10 ครั้ง หรือมากกว่านั้น จนเด็กหายใจไม่ทัน และมีอาการหายใจเข้าลึกๆ เป็นเสียงวู๊ป (Whooping cough) สลับไปกับการไอเป็นชุดๆ โรคนี้ติดต่อกันได้ง่ายจากการไอ จาม รดกันโดยตรง ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีภูมิคุ้มกันจะป่วยเกือบทุกราย มักพบได้บ่อยในเด็กเล็กดังนั้นหากพบลูกหลานมีอาการป่วยที่กล่าวมา ขอให้สงสัยว่าเป็นโรคไอกรน ต้องรีบพบแพทย์โดยเร็ว โรคนี้มียารักษาหาย  
ปัจจุบันโรคไอกรนลดลงมาก จากการเพิ่มระดับความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ซึ่งในไทยมีค่าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 98 โดยในไทยยังพบโรคนี้ได้ประปรายในชนบท และพบในเด็กอายุเกิน 5 ปีมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนมาก่อน พบการระบาดเป็นครั้งคราวในเด็กนักเรียนชั้นประถม การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคนี้คือ ให้เด็กที่ป่วยพักผ่อน ดื่มน้ำอุ่น อยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนจะใช้เวลารักษาประมาณ 6-10 สัปดาห์โรคแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยคือ ปอดอักเสบ เลือดออกในเยื่อบุตา อาจมีอาการชัก โดยกรมควบคุมโรคได้จัดระบบเฝ้าระวังโรคนี้ทั่วประเทศ รายงานทุกสัปดาห์เพื่อติดตามควบคุมป้องกันการแพร่ระบาด อย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว.

สระว่ายน้ำเป็นพิษ

อาจสงสัยกันมานานแล้วว่า การเล่นน้ำในสระที่ใช้ร่วมกันหลายคนจะปลอดภัยหรือไม่ เพราะต้องมีใครแอบปล่อยปัสสาวะลงในน้ำบ้าง และบัดนี้นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า มันอาจเกิดอันตรายได้

วารสาร “สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี” ของอเมริกาได้เปิดเผยว่า ได้มีนักวิทยาศาสตร์ศึกษาเรื่องนี้แล้ว และพบว่า แม้ว่าสระว่ายน้ำทุกแห่งจะใส่คลอรีน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและป้องกันผู้เล่นน้ำติดโรคแล้วก็ตามแต่การที่มีคนลงเล่นน้ำ ว่ายน้ำ กระทุ่มน้ำ และบางคนแอบปล่อยของเสียลงไปด้วย ถึงจะมีระเบียบห้ามอยู่ก็ตาม เพราะจะไปทำให้เกิดสารประกอบในน้ำขึ้น 2 ชนิด คือไตรคลอรามีน และไซยานเจน คลอไรด์ สารอย่างแรกมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคปอด และอย่างหลังนอกจากจะกระทบปอดด้วยแล้วยังมีผลถึงหัวใจและระบบประสาทกลางอีกด้วย

สารทั้งคู่ยังก่อให้เกิดกรดยูริกและคลอรีนขึ้น ภายในเวลาชั่วโมงเดียว กรดยูริกส่วนใหญ่เกิดจากเหงื่อ แต่นักวิทยาศาสตร์คำนวณพบว่า สาร ประกอบที่มีอยู่ในสระน้ำกว่าร้อยละ 90 มาจากปัสสาวะ ดังนั้นพวกเขาจึงลงความเห็นว่า หนทางดีที่สุดที่จะช่วยทำให้น้ำในสระสะอาดขึ้นอย่างง่าย ก็คือ ควรปฏิบัติตามระเบียบ ด้วยการเข้าห้องน้ำก่อนลงสระ.

จากไทยรัฐออนไลน์

ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรน

ในเด็กเล็ก มีโรคที่ต้องระวังอยู่โรคหนึ่ง คือโรคไอกรน  โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ เพราะยังมีภูมิต้านทานต่อโรคน้อย  ดังนั้น จึงต้องระมัดระวังเป็นพิ้เศษ

จากไทยรัฐออนไลน์
สธ.เผยมีเด็กไทยป่วยและเสียชีวิตด้วย"โรคไอกรน"มากขึ้น เตือนผู้ปกครองนำบุตรเข้ารับวัคซีน เผยสถิติปี 56 พบผู้ป่วย 24 ราย ส่วนใหญ่พบในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 1 ปีสูงสุด
นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคไอกรน (Pertussis) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดได้กับประชาชนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคทุกคน ทุกวัย โรคนี้ป้องกันได้ด้วยการฉัดวัคซีน ซึ่งขณะนี้ได้พัฒนาเป็นวัคซีนรวม 1 เข็ม ป้องกันโรคได้ 3 โรค คือคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (DTP) เป็นวัคซีนพื้นฐานที่กระทรวงสาธารณสุขจัดบริการฉีดให้เด็กทุกคนในประเทศไทย โดยฉีด 5 ครั้ง เริ่มครั้งที่ 1เมื่ออายุ 2 เดือน และฉีดซ้ำเมื่ออายุ 4 เดือน, 6 เดือน,1 ปี 6 เดือน และอายุ 4 ปีผู้ที่ได้รับวัคซีนครบชุดทุกคน มีโอกาสป่วยจากโรคไอกรนน้อยมาก หรือหากป่วยอาการจะไม่รุนแรง เนื่องจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันบางส่วนที่ได้จากวัคซีนแล้ว
หากเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีป่วยเป็นโรคไอกรน มักจะมีอาการรุนแรง เนื่องจากระดับภูมิต้านทานโรคในร่างกายยังมีน้อย จึงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย ที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตคือโรคปอดอักเสบหรือปอดบวม เช่นในปี 2556 ตลอดปีพบผู้ป่วย 24 ราย ส่วนใหญ่พบในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 1 ปี มากสุดคืออายุ 1-3 เดือนพบร้อยละ 33 โดยพบมีเด็กอายุ 2 เดือนเสียชีวิต 2 ราย รายที่ 1 ที่ จ.ชลบุรี เสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนคือปอดอักเสบ ได้รับการฉีดวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน 1 ครั้ง ทำให้ร่างกายยังไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ รายที่ 2 ที่ จ.บึงกาฬ โรคแทรกซ้อนที่ทำให้เสียชีวิตคือสมองอักเสบ รายนี้ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเนื่องจากป่วยก่อนถึงวันนัดฉีดวัคซีน ซึ่งเด็กทั้ง 2 รายนี้เป็นเด็กเล็กเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย การป้องกันการเสียชีวิตในภาวะนี้ทำได้โดยผู้ปกครองต้องพาไปโรงพยาบาลตั้งแต่เริ่มป่วย เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ทันท่วงที ซึ่งมียาปฏิชีวนะรักษาได้ จะลดโรคแรกซ้อน รักษาชีวิตผู้ป่วยไว้ได้
ดั้งนั้น เพื่อป้องกันการป่วยและลดอันตรายจนถึงชีวิตในเด็กเล็กจากโรคไอกรน ขอให้ผู้ปกครองทุกคนนำบุตรหลานเข้ารับการรับวัคซีนตามนัดที่ปรากฏในสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กให้ครบตามช่วงวัย ควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในที่แออัดหรือในพื้นที่ที่มีโรคระบาด และที่สำคัญคือในกลุ่มประชาชนที่ย้ายที่อยู่บ่อย เช่นรับจ้างก่อสร้าง แรงงานภาคเกษตร อุตสาหกรรม ลูกมีความเสี่ยงได้รับวัคซีนไม่ครบ จึงควรพาลูกหลานไปรับวัคซีนต่อเนื่องในสถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้ รวมทั้งแรงงานต่างด้าวที่นำครอบครัวและบุตรเข้ามาทำงานในประเทศไทย ควรพาบุตรหลานเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบถ้วนในสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง เพื่อให้ปลอดภัยจากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน โดยบุตรแรงงานต่างด้าวที่อายุไม่เกิน 7 ปีบริบูรณ์ สามารถซื้อบัตรประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขได้ในอัตราคนละ 365 บาท เฉลี่ยวันละ 1 บาท มีอายุคุ้มครอง 1 ปี นับจากวันที่ซื้อบัตรประกันสุขภาพ ซึ่งจะได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนเหมือนเด็กไทย  
ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคไอกรน เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจอักเสบ และเกิดอาการไอ อาการที่เป็นลักษณะพิเศษของโรคนี้คือ ไอเป็นชุดๆ คือไอซ้อนๆ ติดๆ กัน 5-10 ครั้ง หรือมากกว่านั้น จนเด็กหายใจไม่ทัน และมีอาการหายใจเข้าลึกๆ เป็นเสียงวู๊ป (Whooping cough) สลับไปกับการไอเป็นชุดๆ โรคนี้ติดต่อกันได้ง่ายจากการไอ จาม รดกันโดยตรง ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีภูมิคุ้มกันจะป่วยเกือบทุกราย มักพบได้บ่อยในเด็กเล็กดังนั้นหากพบลูกหลานมีอาการป่วยที่กล่าวมา ขอให้สงสัยว่าเป็นโรคไอกรน ต้องรีบพบแพทย์โดยเร็ว โรคนี้มียารักษาหาย  
ปัจจุบันโรคไอกรนลดลงมาก จากการเพิ่มระดับความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ซึ่งในไทยมีค่าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 98 โดยในไทยยังพบโรคนี้ได้ประปรายในชนบท และพบในเด็กอายุเกิน 5 ปีมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนมาก่อน พบการระบาดเป็นครั้งคราวในเด็กนักเรียนชั้นประถม การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคนี้คือ ให้เด็กที่ป่วยพักผ่อน ดื่มน้ำอุ่น อยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนจะใช้เวลารักษาประมาณ 6-10 สัปดาห์โรคแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยคือ ปอดอักเสบ เลือดออกในเยื่อบุตา อาจมีอาการชัก โดยกรมควบคุมโรคได้จัดระบบเฝ้าระวังโรคนี้ทั่วประเทศ รายงานทุกสัปดาห์เพื่อติดตามควบคุมป้องกันการแพร่ระบาด อย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว.