Tuesday, October 7, 2014

"ความพอดี"ในการรักษาพยาบาล

มีญาติมาบ่นให้ฟังว่าเวลาไปหาหมอที่ร.พ.เอกชนแบบเสียเงินเอง หมอจะให้ตรวจหลายอย่าง เช่นเจาะเลือด ส่งเอ๊กซเรย์ ฯลฯ ทั้งที่ตัวเองคิดว่ามีอาการไม่มากเท่าไหร่ บางทีก็ให้นอนโรงพยาบาลเพื่อให้ยา, น้ำเกลือ ด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงมาก ไม่เหมือนเวลาไปหาหมอที่ใช้สิทธิ์ประกันสังคม จะตรวจแล้วก็สั่งจ่ายยาให้กลับบ้านเลย เรื่องเหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยเกิดหวาดระแวงกับการรักษาของหมอว่าจะไว้เนื้อเชื่อใจคุณหมอได้ยังไง
วันนี้จึงเอาบทความของหมอชาวบ้าน post โดย Somsak เขียนเรื่อง"ความพอดี"ในการรักษาพยาบาลมาให้อ่านดู อาจทำให้เข้าใจการรักษาของหมอดีขึ้น
----------------------------------------------------------

ความพอดีในแง่มุมของแพทย์กับผู้ป่วย เป็นสิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างความไว้เนื้อเชื่อใจกับความหวาดระแวง ทั้ง ๒ เรื่องถ้ามีมากเกินไปก็ไม่ดี เรียกว่า เชื่อได้แต่ก็อย่าชะล่าใจ และ ระวังไว้ก็ดีแต่อย่าให้ถึงขั้นหวาดระแวง

ในการตรวจรักษา ถือเป็นบริการที่ผู้ป่วยมาขอให้แพทย์ใช้วิชาความรู้ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาสุขภาพ บางครั้งปัญหาก็เป็นเรื่องง่ายๆ แก้ไขด้วยตัวเองได้ แต่ผู้ป่วยกังวลก็มาพึ่งแพทย์ ถ้าแพทย์เห็นว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ใช้เวลาอธิบายแนะนำก็จบ แต่ถ้าเมื่อใดแพทย์เกิดระแวงว่าจะเป็นอย่างอื่นหรือกลัวพลาดก็จะต้องวินิจฉัยรักษากันมากมาย

ยิ่งสมัยนี้มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย บางครั้งเป็นเงินหลายล้านบาท เรียกว่าแพทย์ทำงานกันจนตายก็ยังหามาจ่ายให้ไม่หมด ทำให้หมอระแวงมากขึ้น ยิ่งระแวงมากก็ยิ่งรอบคอบมาก ค่าใช้จ่ายในการตรวจรักษาก็จะมากขึ้น เสียเวลามากขึ้น และยังเสี่ยงมากขึ้นด้วย

อาการไม่สบายที่เกิดขึ้นกับร่างกายเรา เกือบทุกอาการมีสาเหตุหลายอย่าง บางอย่างก็เป็นเรื่องเล็กน้อย หายได้เอง แต่บางอย่างก็เป็นเรื่องร้ายแรงต้องให้การรักษาโดยแพทย์
ถ้าจะพูดถึงอาการอย่างหนึ่ง สามารถสงสัยได้ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงโรคร้ายแรงได้ เช่น
ปวดหัว อาจเกิดจาก ความเครียด ไมเกรน เส้นประสาทตาอักเสบ หรือเนื้องอกในสมอง
มีน้ำมูก อาจเกิดจาก ภูมิแพ้ หรือมะเร็งของไซนัส
► เจ็บคอ อาจเกิดจาก คออักเสบ หรือมะเร็งในคอ
ไอ อาจเกิดจาก หวัดธรรมดา  หรือมะเร็งปอด
► เจ็บหน้าอก อาจเกิดจาก กล้ามเนื้อเคล็ด หรือหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
แน่นท้อง อาจเกิดจาก ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย หรือมะเร็งในช่องท้อง
► ตกขาว อาจเกิดจาก ช่องคลอดอักเสบ หรือมะเร็งปากมดลูก
จากตัวอย่างเพียงบางส่วน จะเห็นได้ว่า ถ้าระแวงและต้องการตรวจกันให้ละเอียดรอบคอบเพื่อกันพลาดแล้ว ผู้ป่วยที่ไปพบแพทย์ทุกรายจะต้องถูกตรวจหลายอย่างมาก และต้องยอมเสียทั้งเงินทั้งเวลา และต้องยอมรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการตรวจพิเศษต่างๆ ด้วย
ดังนั้น อย่ากลัวจนเกินเหตุ หัดแยกแยะอาการและสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น กรณีปวดหัว
ถ้าปวดหัวเรื้อรังมาเป็นเดือนเป็นปีมักจะไม่ใช่โรคร้ายแรง บางคนอาจเกิดจากความเครียด สามารถหายเองได้ อาจใช้การนวดกดจุด หรือใช้ยาบรรเทาปวดธรรมดา บางคนปวดหัวข้างเดียว เป็นๆ หายๆ บางครั้งมีคลื่นไส้อาเจียน ตาพร่า บ่งว่าเป็นไมเกรน ให้กินยารักษาไมเกรน บางรายปวดกระบอกตาร่วมด้วยให้ไปพบแพทย์ อาจเป็นต้อหินหรือเส้นประสาทตาอักเสบ
ถ้าปวดหัวเฉียบพลัน รุนแรง มีอาการอื่นร่วม เช่น อาเจียน สับสน ซึม ชา ชัก อัมพาต ต้องรีบไปพบแพทย์ แสดงว่ามีความผิดปกติของสมอง (บางคนมีแค่อาการปวดหัวก็กลัวเป็นเนื้องอกในสมองเสียแล้ว พอกลัวมากไปก็เลยเครียดและถูกตรวจวินิจฉัยมากมาย)

บางคนไปพบแพทย์ชอบบอกเล่าอาการทุกอย่างแบบสะเปะสะปะ ที่จริงแล้วแพทย์ก็เหมือนนักสืบ บางคนใจเย็นหน่อยก็พยายามซักถาม ต้อนให้ตรงจุด บางคนมีเวลาน้อย ไม่ชอบอธิบายหรือขี้ระแวง ก็ส่งตรวจหลายๆ อย่างให้ครอบคลุมทุกอาการตามที่ผู้ป่วยบอก แถมด้วยยาอีกสารพัดอย่างตามอาการที่ผู้ป่วยบ่นให้ฟัง กลายเป็นว่ายิ่งบอกหมดทุกเรื่องก็อาจจะเป็นเรื่อง ดังนั้นเอาให้ตรงประเด็นทั้ง ๒ ฝ่ายจะดีกว่า

หลายครั้งพบว่า การที่แพทย์ต้องตรวจวินิจฉัยมากมายก็เพราะตัวผู้ป่วยเองวิตกกังวลมาก กลัวจะเป็นโรคนั้นโรคนี้ หรือเป็นโรคที่ร้ายแรง จึงต้องตรวจเพื่อความสบายใจ และบางครั้งแพทย์เองก็กลัวว่าจะมีความผิดปกติหรือเผื่อว่าจะเจอความผิดปกติ เลยต้องให้สบายใจกันทั้งคู่

มีอีกตัวอย่างหนึ่งคือ ผู้ป่วยที่มีอาการแน่นท้องบ่อยๆ เวลากินอาหารผิดเวลา กินมากไป เร็วไป หรือกินอาหารที่ย่อยยาก เรียกว่า ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย พบได้บ่อย แต่แพทย์จะตรวจวินิจฉัยมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละคน บางคนอาจจะแค่ซักถามอาการ ตรวจร่างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจัดยาให้ บางคนก็ตรวจทางห้องปฏิบัติการบางอย่าง เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะและอุจจาระ บางคนอาจตรวจเอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และส่องกล้องตรวจดูทั้งใส่เข้าไปทางปาก และทางทวารหนัก ซึ่งไม่สามารถกำหนดได้ว่าความพอดีอยู่ตรงไหน
ไม่มีใครบอกได้แน่นอนว่า การตรวจวินิจฉัยต่างๆ มากมายนั้น แพทย์ทำเพื่อผู้ป่วย เพื่อตนเอง หรือเพื่อลดโอกาสความผิดพลาด

ดังนั้น เราในฐานะผู้ป่วย ควรจะเชื่อใจ เชื่อมั่นในจรรยาบรรณของแพทย์ ไม่วิตกกังวลกับอาการต่างๆ จนเกินเหตุ และหากแพทย์จะตรวจวินิจฉัยอะไรก็สามารถซักถามเหตุผลได้ เพราะแพทย์ที่ดีเขาพร้อมที่จะอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจอยู่แล้ว




Wednesday, September 10, 2014

ความระแวงของแพทย์กับผู้ป่วย

ปัจจุบันนี้การให้บริการทางการแพทย์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วยนับวันจะปฏิบัติได้ยากขึ้น 
คนเป็นแพทย์ก็ต้องระมัดระวังในการตรวจรักษา กลัวถูกฟ้องร้องจนบางครั้งก็ดูเหมือนระแวง
ผู้ป่วยเองก็เพ่งเล็งในวิธีการรักษาและผลการรักษามากขึ้น และยังได้ข้อมูลจากสื่อต่างๆ ทั้งถูกบ้างผิดบ้าง ทำให้เกิดความระแวงแพทย์เช่นกัน
โดยปกติแล้วคนเราหากขาดความไว้เนื้อเชื่อใจก็คบกันได้ลำบาก แพทย์กับผู้ป่วยก็เช่นกัน สิ่งหนึ่งที่จำเป็นคือการไว้วางใจเพราะต้องพึ่งพาอาศัยกัน แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่บ่อยครั้งทุกวันนี้คือความรู้สึกหวาดระแวงซึ่งกันและกัน ผู้ป่วยก็กลัวว่าแพทย์จะวินิจฉัยหรือรักษาผิด คิดเงินแพงเกินไป ทำอะไรเกินเหตุ ถูกเอารัดเอาเปรียบ เป็นต้น

ส่วนผู้ป่วยที่ใช้บริการทางสุขภาพฟรี (หรือเกือบฟรี) กรณีใช้ประกันสุขภาพของรัฐ ก็จะระแวงว่า ยาไม่ดี ให้ยาน้อย ยาคุณภาพต่ำ แพทย์ไม่เต็มใจในการตรวจรักษา หรือแพทย์ไม่เก่ง เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่า "เสียเงินก็ระแวง ไม่เสียเงินก็ระแวง"
แพทย์เองนั้นก็ทำงานลำบากขึ้น เช่น ระแวงว่าผู้ป่วยหรือญาติจ้องจับผิด ไม่พอใจก็จะฟ้องร้อง มีความคาดหวังสูง หรือเรื่องมาก เป็นต้น ความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันเช่นนี้นับวันจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนทุกวันนี้คนชักไม่ค่อยอยากจะเรียนแพทย์กันแล้ว

ผลของความระแวงของแพทย์และผู้ป่วยก่อให้เกิดปัญหาตามมาหลายอย่าง ดังนี้


การปัดสวะให้พ้นตัว ประโยคนี้เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นชัดเจน แพทย์จะไม่กล้าตรวจรักษามากขึ้น ถ้าไม่มั่นใจจริงๆ ก็จะปฏิเสธการตรวจรักษาหรือโยนให้คนอื่นรับภาระไป ทำให้สิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่าย บางครั้งก็โยนกันไปโยนกันมาจนผู้ป่วยอาการทรุดลงหรือเสียชีวิตก่อนจะถึงมือแพทย์คนที่กล้ารับผิดชอบ

กลัวจนเกินเหตุ แพทย์ก็กลัวจะวินิจฉัยผิดพลาดจึงต้องตรวจแบบเหวี่ยงแห เพื่อกันไว้ก่อน ถ้าเป็นการตรวจที่ไม่ต้องเสียเงินอย่างการซักถามอาการและตรวจร่างกายอย่างละเอียดก็จัดว่าดีมาก แต่มักไม่เป็นอย่างนั้นเพราะต้องใช้ความพยายามมาก ใช้เวลามาก และยังเหนื่อยมากอีกด้วย ส่วนใหญ่จึงมักเหวี่ยงแหด้านการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษต่างๆ ซึ่งแต่ละอย่างมีค่าใช้จ่ายมากบ้างน้อยบ้าง และบางอย่างก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้

เครียดกันไปหมด กรณีนี้เกิดทั้งแพทย์และผู้ป่วย เข้าตำรา "ตรวจน้อยก็กลัวพลาด ตรวจมากก็กลัวเปลือง"

ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น จากการที่ต้องตรวจรักษาแบบ "กันพลาด" ทำให้ในอนาคตคนยากจนจะต้องพึ่งพาแต่บริการสาธารณสุขของรัฐ เพราะเอกชนที่เข้าร่วมโครงการจะแบกรับภาระไม่ได้ ต้องถอนตัว รัฐเองก็จะอุ้มไม่ไหวเพราะไม่เพียงแต่งบประมาณที่บานปลาย แต่จะทำให้ขาดแคลนทั้งสถานพยาบาล อุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่สำคัญยิ่งคือ บุคลากรทางการแพทย์ เพราะเมื่อผู้ป่วยมีจำนวนมากขึ้นจนล้นโรงพยาบาล แพทย์ต้องทำงานยากขึ้น เครียดมากขึ้น แล้วใครจะอยากมาทำงานด้านนี้

สำหรับคนชั้นกลางและคนชั้นสูงก็จะหันไปใช้บริการของโรงพยาบาลเอกชน เพราะทนสภาพโรงพยาบาลของรัฐบาลไม่ได้ แต่ก็จะพบกับปัญหาจ่ายไม่ไหว อนาคตคงต้องทำประกันสุขภาพกันมากขึ้น และเบี้ยประกันก็จะสูงขึ้น

งานเอกสารจะมากขึ้น แต่งานดูแลผู้ป่วยจะน้อยลง เพราะทำอะไรก็ต้องจดบันทึกให้ละเอียด หากเกิดปัญหาจะได้มีหลักฐานอ้างอิง

ฟ้องร้องกันมากขึ้น เมื่อระแวงก็จะจ้องจับผิดกันมากขึ้น อภัยให้กันน้อยลง ส่วนใหญ่ก็จะลงเอยด้วยการที่ผู้ป่วยฟ้องแพทย์และสถานพยาบาล ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริงถ้าสงสัยก็ฟ้องไว้ก่อน หากเป็นอย่างนี้ต่อไปแพทย์และสถานพยาบาลคงต้องประกันความเสี่ยง และเมื่อจ่ายค่าเบี้ยประกันเพื่อการนี้ ก็ต้องกลับมาคิดเงินจากผู้ป่วยมากขึ้น

ความระแวงสงสัย ถ้าตั้งอยู่บนหลักเหตุผลและยอมรับฟังซึ่งกันและกันก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหา เมื่อใดที่ผู้ป่วยหรือญาติสงสัยก็ให้ซักถามแพทย์ให้เข้าใจตรงกัน แพทย์ก็ต้องปฏิบัติตามหลักการและความถูกต้อง พยายามพูดหรืออธิบายให้มากๆ มีการปรึกษาหารือกัน ผู้ป่วยเองก็ต้องให้ความไว้วางใจในความเป็นแพทย์และจรรยาบรรณของแพทย์ แต่หากสงสัยเรื่องใดก็สอบถามได้

สิ่งที่สำคัญคือควรทำความเข้าใจซึ่งกันและกันเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะเกิดวิกฤติศรัทธาทางการแพทย์ที่รุนแรง และผลเสียก็จะตกอยู่กับทั้งสองฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ขอบคุณข้อมูลจากมูลนิธิหมอชาวบ้าน

Wednesday, August 27, 2014

ยาตีกัน. อันตราย, การแพ้ยาและผลข้างเคียงของยา คืออะไร

ญาติคนหนึ่งของผู้เขียนอายุ 70 กว่าปี เป็นเบาหวาน ปรับเปลี่ยนทานยามาหลายอย่าง เนื่องจากอายุมากจึงมีปัญหาข้อเข่าเสื่อมและปวดมาก จึงต้องทานยาแก้ปวดกลุ่ม Nsaidsด้วย ซึ่งยาแก้ปวดกลุ่มนี้จะไปเพิ่มฤทธิ์ของยาลดน้ำตาลในเลือดบางชนิด ซึ่งอาจทำให้ร่างกายมีน้ำตาลต่ำมาก เมื่อเดือนก่อนได้ข่าวว่าเป็นลมต้องเข้าร.พ.พบว่า น้ำตาลต่ำ ตอนแรกสันนิษฐานว่า ทานยาเบาหวานเยอะเกิน อาจทานยาซำ้กัน ยังไม่ได้นึกถึงยา NSaids ว่ามีdrug interaction กับยาเบาหวาน ตอนนี้ได้ซื้อเครื่องเจาะเลือดเพื่อเช็คน้ำตาลด้วยตัวเอง จะได้ระวัง เวลาที่ค่าน้ำตาลที่วัดได้ต่ำมาก
-------------------------------------------------------------
คำถาม ยาตีกัน หรือ drug interaction คืออะไร ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร?ยิ่งใช้ยามากชนิด ก็จะยิ่งเพิ่มยาตีกัน
ทุกวันนี้มียาให้เลือกใช้มากกว่าในอดีตเป็นอันมาก ชนิดของยานับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีทางเลือกให้แพทย์ได้สั่งจ่ายยาที่มีความเฉพาะเจาะจงและเหมาะสมกับผู้ป่วยมากขึ้น ทั้งยังครอบคลุมการรักษาโรคให้กว้างยิ่งขึ้น
ท่ามกลางการค้นพบยาใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ป่วยก็มีโอกาสใช้ยาจำนวนมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง ยิ่งถ้าผู้ป่วยเป็นหลายโรค ก็ต้องใช้ยามากชนิดขึ้นตามอาการของโรคที่เป็น ทำให้มีแนวโน้มว่าคนจะมีการใช้ยากันมากขึ้น
การที่ต้องใช้ยาหลายชนิดในคราวเดียวกัน เพื่อรักษาโรคที่เป็นปัญหาอยู่นั้น อาจจะส่งผลให้ยาที่ใช้อยู่นั้นเกิด ผลต่อกันได้ซึ่งอาจจะเป็นคุณหรือโทษต่อผู้ใช้ยาก็ได้ และเราเรียกผลของยาชนิดที่หนึ่งที่ไปส่งผลต่อยาอีกชนิดหนึ่งนี้ว่า ยาตีกัน
คำว่า ยาตีกันมาจากภาษาอังกฤษว่า drug interaction ซึ่งถ้าแปลตรงตัวจะได้ความว่า ปฏิกิริยาระหว่างยา ในที่นี้ขอเรียกให้เข้าใจตรงกันง่ายๆ ว่า ยาตีกัน

ยาตีกัน มีทั้งคุณและโทษ
เมื่อใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน ก็อาจส่งผลกระทบต่อกัน หรือยาตีกัน ซึ่งจะส่งผลบวกหรือลบต่อสุขภาพร่างกายได้ โดยด้านบวกหรือคุณ ก็จะช่วยเพิ่มคุณประโยชน์ของยา ช่วยให้ลดขนาดของยาที่ใช้ลงได้ หรือเมื่อเกิดยาตีกันแล้วทำให้ได้ผลการรักษาดีขึ้น
ขอยกตัวอย่างเช่น การใช้ยาเพนิซิลลิน (ยาปฏิชีวนะ) ร่วมกับยาโพรเบเนซิด (ยารักษาโรคเกาต์) จะเกิด ยาตีกันขึ้น และทำให้ยาเพนิซิลลินถูกขับออกจากร่างกายได้ช้าลง เป็นผลให้ระดับยาเพนิซิลลินสูงขึ้นและอยู่ในร่างกายได้นาน เสมือนกับมีการยืดระยะเวลาการออกฤทธิ์ของยาให้นานยิ่งขึ้น ทำให้ไม่ต้องให้ยาในขนาดที่สูงๆ และ/หรือไม่ต้องให้ยาบ่อยๆ เป็นการเพิ่มความสะดวกในการใช้ยา และลดค่าใช้จ่ายของยา พร้อมกับคงประสิทธิภาพของยาได้เหมือนเดิมอีกด้วย

ยาตีกันมักจะทำให้เกิดโทษมากกว่า
แต่ในทางตรงกันข้าม ยาตีกันชนิดที่ทำให้เกิดโทษ ซึ่งเป็นปัญหาจากการใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน เป็นปัญหาที่พบบ่อย ก่อให้เกิดความสูญเสีย และเป็นอันตรายต่อผู้ใช้เป็นอันมาก ฉบับนี้ขอยกตัวอย่างยาตีกันที่พบบ่อยและทำให้เกิดโทษหรืออันตรายต่อผู้ใช้ยา ดังนี้
๑. การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ร่วมกับยาอะม็อกซีซิลลิน อาจทำให้ตั้งครรภ์ได้
๒. การใช้ยาลดไขมันในเลือด กลุ่มสแตตินกับยาอีริโทรไมซิน อาจพาลให้ไตวาย
๓. การใช้ยาลดน้ำตาลในเลือด ในโรคเบาหวานกับยาแก้ปวดข้อกลุ่มเอ็นเสด ทำให้ช็อกได้

ยาเม็ดคุมกำเนิด + ยาอะม็อกซีซิลลิน
การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดร่วมกับยาอะม็อกซีซิลลิน อาจทำให้ตั้งครรภ์ได้
ตัวอย่างที่ ๑ นี้ต้องขอยกให้กับคุณผู้หญิงที่แต่งงานหรือมีแฟนแล้วทุกคน เพราะว่าระหว่างที่คุณกินยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นประจำทุกวันนั้น ก็ด้วยความหวังที่จะใช้ชีวิตครอบครัวตามปกติ และยังไม่ประสงค์ที่จะมีบุตร จึงต้องกินยาเม็ดคุมกำเนิดติดต่อกันทุกวันเป็นประจำต่อเนื่องเป็นแรมเดือนแรมปี แต่ถ้าระหว่างนั้นมีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน (amoxicillin) ซึ่งเป็นยารักษาอาการติดเชื้อ เช่น เจ็บคอร่วมด้วย เมื่อยาทั้ง ๒ ชนิดมาเจอกัน ก็จะเกิดการตีกันของยาได้
โดยยาอะม็อกซีซิลลินจะไปมีผลต่อเชื้อจุลชีพที่อยู่ในทางเดินอาหาร ส่งผลรบกวนการดูดซึมของยาเม็ดคุมกำเนิดในทางเดินอาหาร ทำให้ปริมาณยาคุมกำเนิดที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ลดน้อยลง เมื่อปริมาณยาคุมกำเนิดในเลือดลดน้อยลงกว่าปกติ ก็จะส่งผลทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดน้อยลงด้วย จนอาจทำให้ล้มเหลว ไม่ได้ผลในการคุมกำเนิด และเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นได้
กรณีนี้ อาจสังเกตด้วยตนเองได้ว่า ขณะนี้ระดับยาคุมกำเนิดในเลือดลดต่ำลง เพราะจะมีอาการเลือดออกกะปริดกะปรอยได้
ดังนั้น คุณผู้หญิงที่กำลังอยู่ในระหว่างการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดและมีความจำเป็นต้องใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน จึงขอแนะนำให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดประเภทอื่นร่วมด้วย (เช่น การใช้ถุงยางอนามัย) เพื่อช่วยให้คงการคุมกำเนิดได้ระหว่างที่ใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน โดยเริ่มตั้งแต่วันแรกที่ใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน จนกระทั่งหยุดใช้ยาไปแล้ว ๑ สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะตั้งครรภ์ได้

ยาลดไขมันในเลือด + ยาอีริโทรไมซิน
การใช้ยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตตินกับยาอีรีโทรไมซินอาจพาลให้ไตวายได้
ตัวอย่างที่ ๑ แค่คุมกำเนิดไม่ได้ผล ทำให้เกิดการตั้งครรภ์โดยไม่คาดฝัน และต้องเลี้ยงดูบุตรไปจนโต แต่ตัวอย่างที่ ๒ ของยาตีกันนี้ ทำให้เกิดโรคไตวายได้ เรียกว่าเกิดอันตรายกับตัวผู้ใช้ยา และรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ เพราะโรคไตวายนี้มีอาจารย์แพทย์บางท่านจะผวนคำว่า ตายไวและนิยมพูดกันเล่นๆ ว่า ไตวาย ทำให้ตายไว
ยาตีกันดังตัวอย่างที่ ๒ นี้ก็เป็นยาที่ได้รับความนิยมมากอีกชนิดหนึ่ง คือ ยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตติน (statins) ซึ่งเป็นยาที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ
ตัวอย่างยากลุ่มนี้ เช่น ซิมวาสแตติน (simvastatin) อะโทรวาสแตติน (atrovastatin) โลวาสแตติน (lovastatin) เป็นต้น
จะสังเกตได้ว่า ชื่อยากลุ่มนี้จะลงท้ายว่า สแตตินทุกตัว จึงเรียกกันติดปากว่า กลุ่มสแตติน
ยากลุ่มสแตตินนี้นิยมจ่ายให้กับผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูง และจะต้องใช้ยาติดต่อกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเป็นประจำ เพื่อควบคุมลดปริมาณคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับที่เป็นปกติ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ทำให้ยอดจำหน่ายยากลุ่มนี้ติดอันดับหนึ่งสูงกว่ายากลุ่มอื่นๆ ติดต่อกันหลายปีทีเดียว
แต่เมื่อไหร่ที่มีการใช้ยาอีรีโทรไมซิน (erythromycin) ร่วมกับยากลุ่มสแตติน ยาอีริโทรไมซินซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ในผู้ที่แพ้ยาเพนิซิลลิน เมื่อยากลุ่มสแตตินมาพบกับยาอีริโทรไมซิน ก็จะทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างกัน หรือเกิดยาตีกัน
กรณีนี้ ยาอีริโทรไมซินจะไปยับยั้งการทำลายยากลุ่มสแตติน ทำให้ปริมาณยาสแตตินไม่ถูกทำลายตามปกติ และคงอยู่ในร่างกายนานพร้อมทั้งมีปริมาณมากขึ้น และมีการสะสมตัวยากลุ่มสแตตินในเลือดมากขึ้น จนทำให้เกิดพิษ โดยมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อลีบ และเป็นพิษต่อไตได้
ดังนั้น ตัวอย่างที่ ๒ นี้เป็นตัวอย่างของยาตีกันที่เป็นอันตรายถึงชีวิต จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาทั้ง ๒ ชนิดนี้ร่วมกัน ซึ่งแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการเปลี่ยนจากยาอีริโทรไมซินไปใช้ยาชนิดอื่นแทน หรืออาจจะเปลี่ยนไปใช้ยากลุ่มสแตตินอื่นที่ไม่เกิดผลต่อยาอีริโทรไมซิน เช่น ฟลูวาสแตติน (fluvastatin) พราวาสแตติน (pravastatin) เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่มสแตตินอยู่ก็จะต้องคอยสังเกตอาการผิดปกติของตนเองด้วย โดยเฉพาะอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น

ยาลดน้ำตาลในเลือด + ยาแก้ปวดข้อกลุ่มเอ็นเสด
การใช้ยาลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน กับยาแก้ปวดข้อกลุ่มเอ็นเสด ทำให้ช็อกได้
ตัวอย่างที่ ๓ เป็นกรณีของผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาลดน้ำตาลในเลือดกลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (sulfonylureas) เช่น ไกลเบนคลาไมด์ (glibencalmide) คลอโพรพาไมด์ (chlorpropamide) เป็นต้น
ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งก็ทำนองเดียวกันกับ ๒ ตัวอย่างแรกที่จะต้องใช้ยานี้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป เพราะถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่เป็นระยะเวลานานๆ จะไปทำลายระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้เกิดอาการชาปลายมือปลายเท้า ตาฝ้าฟาง และเป็นโรคไตได้
ถ้าผู้ป่วยได้รับยาแก้ปวดแก้อักเสบข้อและกล้ามเนื้อกลุ่มที่เรียกว่า เอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไดโคลฟีแนก (diclofenac) ไพร็อกซิแคม (piroxicam) ยากลุ่มเอ็นเสดเมื่อเจอกับยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย ก็จะเกิดการตีกันของยา โดยยาเอ็นเสดจะส่งผลให้ปริมาณยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรียในเลือดเพิ่มสูงมากขึ้น ทำให้ฤทธิ์การลดน้ำตาลในเลือดเพิ่มมากขึ้นตาม จนอาจไม่มีน้ำตาลเหลืออยู่ในเลือดเลย ผู้ป่วยก็อาจจะมีอาการอ่อนแรง เป็นลม หมดสติ และช็อกได้
กรณีนี้ก็เช่นเดียวกับต้วอย่างที่ ๒ ที่จะต้องระวังตัวไม่ควรใช้ยากลุ่มเอ็นเสดร่วมกับยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย เพื่อไม่ให้เกิดการตีกันของยา และทางที่ดีควรติดตามวัดระดับน้ำตาลในเลือด หรือลดขนาดของยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรียลงให้เหมาะสมระหว่างที่มีการใช้ยากลุ่มเอ็นเสดร่วมด้วย

สมุดบันทึกยา : วิธีง่ายๆ ที่ช่วยป้องกันยาตีกัน
จากทั้ง ๓ ตัวอย่างของ ๓ คู่ของยาตีกัน ที่อาจส่งผลต่อการรักษา และ/หรือทำให้เกิดพิษ เกิดอันตรายจากการใช้ยาได้ ในที่นี้ขอแนะนำวิธีง่ายๆ ในการช่วยป้องกันยาตีกัน ก็คือสมุดบันทึกยา
สมุดบันทึกยาหรือบันทึกรายการยา ใช้บันทึกรายชื่อยาทั้งหมด ทั้งที่ใช้ประจำ และนานๆ ใช้ครั้งหนึ่ง รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามิน เกลือแร่ และสมุนไพรด้วย โดยนำรายชื่อยาและสารอื่นๆ เหล่านี้ไปปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร ว่าจะมีโอกาสเกิดยาตีกันหรือไม่ จะได้เฝ้าระวัง ป้องกัน และหลีกเลี่ยงตามลักษณะเฉพาะของยาแต่ละคู่แต่ละประเภท
กรณีที่จะไปพบแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อรักษาโรค ก็ขอเสนอให้พกสมุดบันทึกยา (หรือบันทึกรายการยา) ไปด้วยเสมอ และควรแสดงให้กับแพทย์ที่ตรวจรักษาได้รับรู้ และ/หรือแสดงให้เภสัชกรที่จ่ายยาได้ทราบ เพื่อจะจ่ายยาให้เหมาะสมไม่เกิดการตีกัน

คำว่า ยาตีกัน” มาจากภาษาอังกฤษว่า drug interaction แปลตรงตัวคือ ปฏิกิริยาระหว่างยา
ยาอะม็อกซีซิลลินรบกวนการดูดซึมของยาเม็ดคุมกำเนิดในทางเดินอาหาร ทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดน้อยลง
ยาอีรีโทรไมซินยับยั้งการทำลายยากลุ่มสแตติน ในเลือดมีการสะสมตัวยากลุ่มสแตตินมากขึ้นทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อลีบ และเป็นพิษต่อไตได้
ถ้าได้รับยาแก้ปวดแก้อักเสบข้อกลุ่มเอ็นเสด เมื่อเจอกับยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย ก็จะเกิดการตีกัน ผู้ป่วยก็อาจจะอ่อนแรง เป็นลม หมดสติ และเกิดช็อกได้

การแพ้ยา
การแพ้ยาเกิดจากกระบวนการในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอย่างเฉียบพลันหลังจากได้รับยา เป็นการเกิดเฉพาะรายเฉพาะบุคคล จึงมีโอกาสในการเกิดและระดับความรุนแรงของอาการแตกต่างกันไป และไม่สามารถทราบได้ล่วงหน้า อาการแพ้ยาที่รุนแรงและอาจถึงแก่ชีวิตมีลักษณะดังต่อไปนี้
๑. เกิดขึ้นภายใน ๑ ชั่วโมงหลังจากใช้ยา โดยมีโอกาสเกิดขึ้นได้แม้ว่าจะเคยมีประวัติใช้ยานี้มาก่อน
๒. ประกอบด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
ผื่นลมพิษ เปลือกตาบวม หน้าบวม หายใจมีเสียงผิดปกติ (เสียงหวีดหวิว) หายใจลำบาก หน้ามืดเป็นลม ความดันโลหิตต่ำ มีผื่นหรือผิวหนังลอกบริเวณปาก รอบทวารหนัก หรือรอบอวัยวะเพศ
อาการแพ้ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นอาการแพ้ที่รุนแรง จัดเป็นภาวะฉุกเฉินที่ผู้ป่วยต้องไปรับการตรวจรักษาจากแพทย์ทันที ไม่ควรกินยาต่อเพราะจะทำให้อาการแพ้รุนแรงขึ้น และอาจทำให้เสียชีวิตได้ หลังจากประเมินอาการแพ้แล้ว จะต้องบันทึก ประวัติการแพ้ยาและแพทย์จะพิจารณาเปลี่ยนใช้ยากลุ่มอื่นทดแทน เพื่อควบคุมอาการของโรค หากหยุดยาเองโดยไม่ไปพบแพทย์ และไม่ได้รับยาทดแทน โรคที่เป็นอยู่อาจกำเริบจนเป็นอันตรายได้
ผลข้างเคียงจากยา
โดยทั่วไปมักไม่จัดผลข้างเคียงจากยาเป็นภาวะฉุกเฉินที่ผู้ป่วยต้องรีบไปรับการรักษาจากแพทย์ แต่หากปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้เช่นกัน เช่น ยาที่มีฤทธิ์กัดกระเพาะ อาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เสียเลือดจากแผล เกิดภาวะเลือดจาง และอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจทำงานมากเกินไปจนเกิดภาวะหัวใจวายได้
อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงอื่นๆ จากยา อาจไม่ส่งผลให้เกิดอันตรายร้ายแรงแก่ผู้ป่วย เพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญ หรือเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เมื่อหยุดยา อาการผิดปกตินั้นจะหายไปเองได้ หรือในยาบางชนิด ผลข้างเคียงอาจหายไปแล้วแม้ว่าจะไม่หยุดยาก็ตาม
เช่น ยาลดน้ำมูก คลอร์เฟนิรามีน อาจทำให้ง่วงซึม แต่เมื่อกินยาติดต่อกันไประยะหนึ่ง อาการง่วงซึมจะลดลงหรือหายไป หรือเมื่อหยุดยาอาการง่วงซึมก็จะหายไปเช่นกัน
อาการง่วงซึมนี้ไม่เป็นอันตราย ยกเว้นกรณีที่กินยาแล้วไปขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักรกล ก็อาจทำให้การตัดสินใจขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักรกลผิดพลาดได้
อาการข้างเคียงบางอย่างอาจเป็นมากจนรู้สึกทนไม่ได้ ทำให้ผู้ป่วยหยุดยาเอง เช่น มีอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก ไอรุนแรง ขาบวม เป็นต้น อาการเหล่านี้หากเกิดขึ้นควรบอกแพทย์เพื่อพิจารณาเปลี่ยนยา อย่าหยุดยาเองเพราะจะทำให้อาการของโรคกำเริบได้
ข้อแนะนำการใช้ยา
๑. ก่อนใช้ยา ควรอ่านฉลากยาอย่างละเอียด และไม่ควรกินยาของคนอื่น การไม่อ่านฉลากยา และใช้ยาผิด อาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
๒. การกินยาหลังอาหาร หมายถึง กินยาหลังอาหารทันที ไม่จำเป็นต้องรอเวลา (๓๐ นาทีถึง ๑ ชั่วโมง)
๓. ยาส่วนใหญ่จะระบุให้กินหลังอาหารเพื่อให้จำง่าย ซึ่งผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีภารกิจเร่งรีบจนไม่มีเวลากินอาหารตามมื้อควรกินยาในเวลาเดียวกันเป็นประจำ โดยไม่ต้องคำนึงถึงการกินอาหาร เพื่อผลในการควบคุมโรค เช่น ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาขับปัสสาวะ ที่ต้องกินตรงเวลาทุกเช้า
๔. ยาบางชนิดจำเป็นต้องกินหลังอาหารทันทีหรือพร้อมอาหาร เนื่องจากมีฤทธิ์กัดกระเพาะ ดังนั้น หากถึงเวลากินยาก็จำเป็นต้องกินอาหารรองท้องไว้ เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากยากัดกระเพาะจนอาจเป็นแผลเลือดออก ไม่ควรแก้ปัญหาด้วยการงดยา เพราะจะทำให้ควบคุมอาการของโรคไม่ได้
๕. ยาที่ต้องกินก่อนอาหาร หมายถึง กินก่อนมื้ออาหารครึ่งชั่วโมงขึ้นไป (๓๐ นาทีถึง ๑ ชั่วโมง) เนื่องจากอาหารจะลดการดูดซึมของยา หรือเพื่อให้ยาออกฤทธิ์บรรเทาอาการได้ในเวลากินอาหาร เช่น ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน หากลืมกินยา และกินอาหารไปแล้ว ให้กินยาหลังอาหารมื้อนั้น ๑ ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อให้ท้องว่าง แต่ต้องระวังว่าเวลาที่กินอาหารจะไม่ใกล้กับยาในมื้อถัดไป
๖. ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องกินยาก่อนอาหารเป็นนาทีถึงครึ่งชั่วโมง แล้วแต่ชนิดของยา เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจากการกินอาหาร จึงจำเป็นต้องกินอาหารหลังกินยาทุกครั้ง มิฉะนั้นจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ทำให้หน้ามืด วิงเวียน เป็นลม และในทางกลับกัน หากงดยาเองเพราะไม่อยากกินอาหารก็อาจทำให้ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
๗. การกินยามีความสำคัญ ผู้ป่วยที่ไม่มั่นใจในการกินยาควรปรึกษาเภสัชกรที่ห้องจ่ายยาโรงพยาบาลหรือร้านยาทุกครั้ง เพื่อให้ใช้ยาได้อย่างปลอดภัย เภสัชกรสามารถจัดตารางการกินยาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วย หรือแม้แต่ประสานกับแพทย์ เพื่อปรับเปลี่ยนยาที่ต้องกินวันละหลายๆ ครั้ง ซึ่งไม่สะดวก มาเป็นเพียงวันละ ๑-๒ ครั้ง ไม่ควรลดหรือเพิ่มขนาดยาเอง
๘. การไปพบแพทย์หลายๆ โรงพยาบาล (หรือคลินิก) อาจทำให้ได้รับยาชนิดเดียวกัน ผู้ป่วยต้องกินยาซ้ำซ้อน หรือเกิด การตีกันของยา ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงแก่ผู้ป่วยได้ การไปพบแพทย์หรือเภสัชกรจึงควรมีรายการยาหรือนำยาที่กำลังใช้อยู่ทุกชนิดไปด้วยทุกครั้ง เพื่อให้เภสัชกรพิจารณาว่ามียาซ้ำซ้อนกันหรือไม่ หรือยาตีกันหรือไม่ จะได้หาทางแก้ไขและป้องกัน เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการใช้ยา
๙. ผู้ป่วยที่มีภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรแจ้งเภสัชกรทุกครั้งที่รับยา เพื่อให้เภสัชกรพิจารณาความเหมาะสมของยา และผลของยาที่อาจมีต่อบุตรในครรภ์หรือบุตรที่ได้รับนมแม่
 
ข้อมูลจากhttp://www.doctor.or.th/article/detail/15347

Thursday, August 21, 2014

ประเมินความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยตนเอง

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันเป็นสาเหตุการตายอันดับแรกๆ ของโลกและของประเทศไทย 
นอกจากนี้โรคหัวใจและหลอดเลือดยังเป็นเหตุทำให้มีความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ทั้งค่ารักษาพยาบาลและการสูญเสียความสามารถในการทำงาน
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน เป็นภาวะที่มีการ ตีบตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ โดยมีสาเหตุส่วน ใหญ่มาจากการแข็งตัวของหลอดเลือด (atherosclerosis) เมื่อมีการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจถึงระดับที่สำคัญ จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โดยในระยะแรกๆ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกในขณะที่ออกแรง เมื่อพักแล้วอาการจะดีขึ้น
อาการแน่นหน้าอกจะเป็นรุนแรงขึ้น อาจมีอาการจากการเดินเพียงไม่กี่ก้าว นอกจากนี้ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตันยังเป็นสาเหตุของกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นโรคที่อันตรายมาก ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว

ประเมินความเสี่ยงด้วยตนเอง
โรคหลอดเลือดหัวใจมีอันตรายสูงดังที่กล่าวมาแล้ว
การตระหนักถึงความเสี่ยงของแต่ละบุคคลจะเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนป้องกันและการรักษา เพื่อลดโอกาสเกิดปัญหาทางโรคหัวใจและหลอดเลือดที่อาจตามมาในอนาคต
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่
ปัจจัยส่วนบุคคล ด้านอายุ เพศ
ปัจจัยพฤติกรรม เช่น การออกกำลังกาย อาหาร การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา
ปัจจัยด้านสรีระร่างกาย เช่น ความดันเลือด ไขมัน และเบาหวาน เป็นต้น
แต่ละบุคคลจะมีปัจจัยเหล่านี้แตกต่างกันไป ความเสี่ยงของแต่ละบุคคลจะเป็นผลรวมจากทุกๆ ปัจจัย บุคคลที่มีหลายปัจจัยร่วมกันนั้น ย่อมมีความเสี่ยง รวมต่อโรคมากขึ้น ในต่างประเทศมีแนวทางการประเมินความเสี่ยงรวมต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดหลายวิธี แต่เนื่องจากวิธีการประเมินดังกล่าวมาเป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในต่างประเทศและได้พบปัญหาในการนำไปใช้ใน ประเทศอื่นๆ โดยประเมินความเสี่ยงเกินความเป็นจริงไปมาก ซึ่งอาจไม่เหมาะกับคนไทย
ดังนั้น ทางคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ได้ทำการศึกษาและติดตามประชากรซึ่งเป็นพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เป็นเวลานานกว่า ๑๗ ปี และสร้างแบบประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจสำหรับคนไทยขึ้นมา ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าแม่นยำกว่าของต่างประเทศ
ในที่นี้จะแสดงเฉพาะวิธีการประเมินอย่างง่ายโดยไม่ต้องใช้ผลเลือด โดยจะคำนวณความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจขั้นรุนแรง (ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และการเสียชีวิตเฉียบพลัน) ในช่วงเวลา ๑๐ ปีข้างหน้า
ปัจจัยเสี่ยงในการประเมินนี้จะใช้คะแนนความเสี่ยงของ ๕ ปัจจัย (ตารางที่ ๑) คือ อายุ เพศ ประวัติการสูบบุหรี่ ประวัติโรคความดันเลือดสูงหรือวัดความดันได้ตั้งแต่ ๑๔๐/๙๐ ขึ้นไป และรอบเอวใหญ่เกินค่ากำหนด (ผู้ชายตั้งแต่ ๙๐ ซม. ขึ้นไป ผู้หญิงตั้งแต่ ๘๐ ซม. ขึ้นไป)
โดยนำคะแนนความเสี่ยงทุกอย่างมารวมกัน เช่น ผู้ชาย (๓ คะแนน) อายุ ๔๘ ปี (๒ คะแนน) ไม่สูบบุหรี่ (๐ คะแนน) มีความดันเลือดสูง (๓ คะแนน) รอบเอว ๙๕ ซม. (๔ คะแนน) จะมีคะแนนความเสี่ยงรวมเท่ากับ ๓ + ๒ + ๐ + ๓ + ๔ = ๑๒ คะแนน เป็นต้น
จากคะแนนรวมที่ได้นำไปเทียบเป็นอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงในระยะเวลา ๑๐ ปี (ตารางที่ ๒) ได้เท่ากับร้อยละ ๕ (ถ้ารวมโรคหลอดเลือดหัวใจไม่รุนแรงที่มีอาการเจ็บอกทั่วไปด้วยน่าจะสูงขึ้นกว่านี้อีกเป็นเท่าตัว) ซึ่งอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและรีบไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว โดยแพทย์จะทำการประเมินโดยละเอียด รวมถึงอาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็นเพื่อความถูกต้องแม่นยำขึ้น


ตารางที่ ๑.


ปัจจัยเสี่ยง
คะแนน
๑.อายุ                                     ๓๕-๓๙
                                               
๔๐-๔๔
                                               
๔๕-๔๙
                                               
๕๐-๕๔
                              -
                               

                               

                               
๒.เพศ                                     หญิง
                                               
ชาย
                               
                               
๓.บุหรี่                                    ไม่สูบ
                                               
ปัจจุบันยังสูบบุหรี่
                               
                               
๔.ความดันเลือดสูง               ไม่เป็น
                                               
เป็น
                               
                               
๕.รอบเอวใหญ่เกิน                 ไม่ใช่
                                               
ใช่
                               
                               

ตารางที่ ๒
คะแนนความเสี่ยงรวม
โอกาสเกิดโรคหลอดเลือด
หัวใจตีบรุนแรงในระยะเวลา ๑๐ ปี
(
ร้อยละ)
น้อยกว่า ๐
น้อยกว่า ๑
๑-๕
๖-๘
๑๐-๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๐
๑๖
๑๒


หมายเหตุ
๑. ผลที่ได้จากแบบประเมินนี้สามารถนำไปใช้ในด้านระบาดวิทยาทางการแพทย์เท่านั้น ห้ามนำไปใช้อ้างอิงในการประกันชีวิต
๒. ผู้ที่มีคะแนนความเสี่ยงรวมตั้งแต่ ๖-๙ คะแนน จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงปานกลาง ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอถ้าไม่มีข้อห้าม ควบคุมอาหารหวาน มัน เค็ม งดสูบบุหรี่ทันที และควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้องต่อไป
๓. ผู้ที่มีคะแนนความเสี่ยงรวมตั้งแต่ ๑๐ คะแนนขึ้นไป จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามข้อ ๒ และรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้องโดยเร็ว


ขอบคุณ ข้อมูลจากหมอชาวบ้าน